วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

การทำงานเป็นทีม



การทำงานเป็นทีม


การทำงานเป็นทีม หมายถึงการร่วมกันทำงานของสมาชิกที่มากกว่าหนึ่งคน โดยที่สมาชิกทุกคนจะต้องมีเป้าหมายเดียวกันว่าจะทำอะไร ทุกคนต้องยอมรับร่วมกันและมีการวางแผนร่วมกัน การทำงานเป็นทีมมีความสำคัญต่อทุกองค์กร เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน การทำงานเป็นทีมมีบทบาทสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของงาน ที่จะต้องอาศัยความร่วมมือของกลุ่มสมาชิกเป็นอย่างดี
ลักษณะของการทำงานเป็นทีม 4 ประการ
1)           การมีปฏิสัมพันธ์ของบุคคล หมายถึงสมาชิกตั้งแต่สองคนขึ้นไป มีความเกี่ยวข้องในกิจกรรมของกลุ่ม ทีมให้ความตระหนักในความสำคัญของกันและกัน แสดงออกซึ่งการยอมรับ การให้เกียรติกัน สำหรับกลุ่มขนาดใหญ่มักมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายมากกว่าการติดต่อกันแบบตัวต่อตัว
2)           มีจุดมุ่งหมายและเป้าหมายร่วมกัน การที่สมาชิกกลุ่มจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมร่วมกันของทีม โดยเฉพาะจุดประสงค์ของสมาชิกกลุ่มต้องสอดคล้องกับองค์การ จะช่วยให้งานประสบความสำเร็จได้ง่าย
3)           การมีโครงสร้างของทีมหรือกลุ่ม หมายถึงระบบพฤติกรรมที่เป็นระเบียบแบบแผนของกลุ่ม ซึ่งสมาชิกของกลุ่มปฏิบัติตาม
4)           สมาชิกมีบทบาทและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน รักษาบทบาทหน้าที่มั่นคงในแต่ละทีมหรือกลุ่ม มีการจัดแบ่งมอบหมายหน้าที่ให้ตามความเหมาะสมและความสามารถ
การทำงานเป็นทีม ต้องยึดหลักประชาธิปไตย มีความเสมอภาค เคารพให้เกียรติ ยอมรับฟังความคิดเห็น สร้างความสามัคคีในทีมหรือกลุ่ม จะช่วยให้งานประสบความสำเร็จ และสมาชิกทำงานร่วมกันในบรรยากาศแห่งความรัก มีความสุขในการทำงาน
คุณลักษณะของทีม
ทีมจะประสบความสำเร็จในการทำงาน ทีมที่ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของงาน ทีมจะต้องยึดสิ่งต่อไปนี้เป็นกรอบในการทำงานร่วมกัน คือ
1)           มีความเป็นหนึ่งเดียว มีความเข้าใจแผนงานหรือโครงการตรงกัน
2)           จัดการด้วยเหตุผล การดำเนินการให้ทุกคนมีส่วนร่วมและมีส่วนรับผิดชอบ
3)           พึ่งพาตัวเอง โดยนำความถนัดและความสามารถที่แต่ละคนมีออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
4)           ขนาดของกลุ่มพอเหมาะ จำนวนสมาชิกไม่มากเกินไป หากเป็นจำนวนคี่จะง่ายต่อการออกเสียง
การรู้จักเพื่อนร่วมทีม
การรู้จักนิสัยใจคอ ความรู้ความสามารถ จะช่วยให้การทำงานเป็นทีมราบรื่น สมาชิกทุกคนต้องมีความเข้าใจว่า สมาชิกแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ในความรู้ความสามารถ นั่นคือมีบุคลิกภาพแตกต่างกัน ทุกคนต้องใจกว้าง ยึดหยุ่นและให้อภัยความผิดพลาดหรือความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างลักษณะของสมาชิก
1)           เป็นนักคิด ชอบแสดงความคิดเห็น เป็นเจ้าความคิด ชอบแสดงความคิดเห็นในงานของผู้อื่น
2)           เป็นนักจัดองค์กร เป็นเจ้าระเบียบ ชอบจัดแจงสิ่งต่างๆ อาจไปยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของทีมงาน
3)           เป็นนักปฏิบัติการ เป็นคนมีความรับผิดชอบ ชอบทำงาน มุ่งสู่ความสำเร็จ มักไม่พอใจกับความล่าช้า ความไม่เป็นระบบระเบียบ
4)           เป็นนักตรวจสอบ ชอบจับตาดูความก้าวหน้า หรือความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นในการทำงาน บางคนเห็นว่าคอยจับผิด อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในทีมได้
5)           เป็นนักประเมิน อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของสมาชิก เพราะการวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน
การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
การทำงานในสมัยปัจจุบันหรือการบริหารงานในแนวใหม่จะทำแบบ “ข้ามาคนเดียว” หรือ “วันแมนโชว์” หรือ “ศิลปินเดี่ยว” หรือ “อัศวินม้าขาว” ดูจะเป็นไปได้ยาก และสำเร็จยากด้วย กลุ่มงานที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ หรือ 3Ps ได้แก่
1)           มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ชัดเจน
2)           มีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ในการทำงาน
3)           มีผลการทำงาน (Performance)
การทำงานเป็นทีม ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าการทำงานคนเดียว เช่น
1)           ต้องมีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น
2)           ต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกัน
3)           ต้องมีการจัดการประชุม
4)           ต้องมีค่าใช้จ่าย
เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน
1.           วัตถุประสงค์ชัดเจน และมีเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ที่ต้องการให้องค์กรบรรลุผลสำเร็จ ที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงาน ให้เป็นไปตามภารกิจขององค์กร
1.1.     การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดี ต้องให้ผู้นำและสมาชิกในทีมมีส่วนในการกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบและวัตถุประสงค์ร่วมกัน
1.2.     ประโยชน์ของการกำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ใช้เป็นการรวมพลังในการทำงาน และเป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของงาน
1.3.     วัตถุประสงค์ที่ดี ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เข้าใจง่าย สามารถปฏิบัติได้ ไม่ขัดกับระเบียบข้อบังคับอื่นๆ ในองค์กร
2.           มีความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา
มีความสำคัญต่อการทำงานเป็นทีมเพื่อให้งานเกิดประสิทธิภาพ
2.1.     สมาชิกจะต้องแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา แก้ปัญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ
2.2.     การแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยของสมาชิกในทีมจะต้องได้รับความปลอดภัย พูดถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี
3.           การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน
สมาชิกในทีมต้องมีความไว้ใจกันและกัน โดยทุกคนมีเสรีในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงว่าจะมีผลร้ายตามมาภายหลัง ทำให้กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สมาชิกจะต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลื่อในการทำงาน
4.           ความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์
4.1.     การสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน การขอความร่วมมือมีสองฝ่ายคือ ฝ่ายขอความร่วมมือและฝ่ายให้ความร่วมมือ ความร่วมมือจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายให้มีความเต็มใจและยินดีให้ความร่วมมือ เหตุผลการขาดความร่วมมือเป็นเพราะการขัดผลประโยชน์ไม่อยากให้ผู้อื่นได้ดีกว่า สัมพันธภาพไม่ดี  วัตถุประสงค์ทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำงาน ไม่มีความพร้อมในการให้ความร่วมมือ
4.2.     ความขัดแย้ง หมายถึงความไม่ลงรอยกันในความคิด หรือการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนขึ้นไปหรือระหว่างกลุ่ม เพราะขัดผลประโยชน์ ความคิดไม่ตรงกัน ผลประโยชน์ขัดกัน องค์กรขัดแย้งกัน ฯลฯ
4.3.     วิธีแก้ความขัดแย้ง ควรใช้วิธีแก้ปัญหาร่วมกัน ให้เกิดความเสมอภาค ไม่ให้เกิดการได้หน้าหรือเสียหน้า เป็นการเจรจาแบบประนีประนอม
5.           กระบวนการทำงานและการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม
งานที่มีประสิทธิภาพนั้นสมาชิกทุกคนจะต้องโฟกัสไปที่งานและผลของงานเป็นลำดับแรก ต่อมาก็เป็นการวางแผนว่าทำอย่างไรงานจึงจะออกมาดี ขั้นตอนในการตัดสินใจ
5.1.     ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนในเหตุผลสำหรับการตัดสินใจ
5.2.     วิเคราะห์ลักษณะปัญหาที่จะต้องตัดสินใจ
5.3.     ตรวจสอบทางเลือกในการแก้ปัญหา
5.4.     นำผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ
6.           ภาวะผู้นำที่เหมาะสม
จะต้องเป็นผู้ชี้แนะประเด็นสำคัญในการทำงานตามบทบาทผู้นำ การแบ่งงาน การกระจายงานให้สมาชิกตามความรู้ความสามารถ ส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกันเป็นทีม มีการพัฒนาทีมงานและบุคลากร
7.           การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทำงาน
ทีมงานที่ดีไม่เพียงแต่ดูจากลักษณะของทีม แต่ดูที่วิธีการทำงาน ดูจากข้อมูลป้อนกลับในการปฏิบัติงานของแต่ละคนและของทีมงานด้วย
8.           การพัฒนาตนเอง
การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพจะพยายามรวบรวมและใช้ทักษะต่างๆ ของแต่ละคน และยังต้องการพัฒนาให้มีความสามารถสูงขึ้น ผู้บริหารหรือผู้นำต้องมีความรู้ในการบริหารคน สามารถสอนหรือพัฒนาบุคลากรให้มีลักษณะที่ดีขึ้น

ประโยชน์ของการทำงานเป็นทีม
1)           สร้างขวัญและกำลังใจแก่สมาชิก ทำให้เกิดความไว้ใจ บรรยากาศในการทำงานดี ช่วยให้การทำงานได้ผลดีมีประสิทธิภาพ
2)           สร้างความมั่นคงในอาชีพ เพราะมีการพัฒนาความรู้ ประสบการณ์และทักษะ ทำให้ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
3)           สร้างความสัมพันธ์ในงาน มีการช่วยกัน ระดมความรู้ ความสามารถของสมาชิกเข้าเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เกิดความผูกพันใกล้ชิดและบรรลุเป้าหมายที่ต้องการพร้อมกัน
4)           เพิ่มพูนการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ในทีมงานมีการกำหนดให้สมาชิกมีบทบาทต่างๆ เช่น ผู้นำทีม หัวหน้ากลุ่ม ผู้ประสานงานและบทบาทอื่นๆ ทำให้เกิดความเข้าใจในการทำหน้าที่ตามบทบาทที่ได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมาย ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเกิดผลงานที่ดี

1 ความคิดเห็น: