วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทุกอย่างต่างมีเหตุผลของมัน

 “ทุกอย่างต่างมีเหตุผลของมัน”

ชีวิตจะต้องพบความสุข หรือความทุกข์

จะมีรอยยิ้มหรือมีน้ำตา

พ่อสอนว่า “มันมีเหตุผลของมัน”

ย้อนกลับไปที่คำๆเดิม

“สุดแต่น้ำพระทัยพระองค์..”

ในเมื่อมันต่างมีเหตุผลของมัน พ่อจึงสอนอีกว่า

เพียงแค่เราเชื่อว่ามันจะผ่านไปด้วยดี

เพียงแค่เรามีความเชื่อว่ามันจะผ่านไปด้วยพระเมตตาของพระเจ้า

ทุกอย่างก็จะผ่านไป

.........................................

ฉันเคยสงสัยว่าทำไมคนบางคนต้องก้าวร้าว

ทำไมคนบางคนจึงกล้าทำร้ายคนอื่นอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร

ทำไมคนบางคนต้องคอยจับผิดแม้เรื่องเล็กน้อยของคนอื่น

และมากมายที่สงสัยว่าทำไมต้องมีคนแบบนี้บนโลกใบนี้

“ทุกอย่างต่างมีเหตุผลของมัน”

ฉันมานั่งนึก ไตร่ตรองแล้วว่า

ถ้าไม่มีคนก้าวร้าว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความอ่อนโยนเป็นอย่างไร

เค้าเป็นครูของเราให้เราเรียนรู้จักว่านี่แหละที่เรียกว่าก้าวร้าว

ถ้าไม่มีคนเข้มงวด คอยจับผิด หรือตำหนิแม้เรื่องเล็กน้อย

องค์กรจะมีระเบียบวินัยได้อย่างไร

บางทีเราต้องชื่นชมและเห็นใจเขา

เพราะเขานี่แหละที่จะโดนคนรอบข้างทำร้ายและไม่หวังดี

สำคัญคือเราเองก็ทำอย่างเขาไม่ได้มิใช่หรือ

ฉันพร่ำย้ำคำสั่งสอนเหล่านี้ให้จดจำไว้ในใจ

เพราะการยอมรับใครสักคนที่ก้าวร้าว

ใครสักคนที่มีแต่คำพูดเชิงลบสม่ำเสมอ

เป็นสิ่งที่ฉันยากจะทำใจให้รักพวกเขาได้

ฉันแทบจะนับเวลาเป็นนาทีเมื่ออยู่ในสถานการณ์กับพวกเขาเหล่านั้น

เมื่อสิ้นสุดความอดทน ฉันมักจะเดินออกจากสถานการณ์นั้นไป

ไปหาที่สงบๆ พักพิง

บางสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลา

และต้องใช้ความคิดทางบวกให้มากๆ

เพื่อความสงบสุขของจิตใจตัวเราเอง

หลังจากนี้..ฉันคงได้คำใหม่เพื่อสงบตัวเองได้ดีขึ้น

“ทุกอย่างต่างมีเหตุผลของมัน”

และ

“สุดแต่น้ำพระทัยพระองค์”

................................................

ด้วยรักค่ะ

น้ำผึ้งหวาน
27 กุมภาพันธ์ 2554

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สารวัดนาบัว, ปีที่ 1 ฉบับที่ 42

สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
ปีที่ 1 ฉบับที่ 42, วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554): http.//dondaniele.blogspot.com
บ้านนาบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231

ห้วยยาว ลำห้วยสายหลักที่เลี้ยงชีวิตชาวนาบัว
 สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา

ผู้คนในสังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว วิตกทุกข์ร้อน และกังวลใจในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สำหรับเราคริสตชน เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างและผู้ไถ่ของเรา พระองค์ทรงเป็นองค์แห่งความดีบริบูรณ์ ที่ทรงดูแลเอาใจใส่เลี้ยงดูประชากรของพระองค์ ดังนั้น เราจึงควรวางใจในพระองค์ มอบฝากทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์

พระเจ้าทรงเชื้อเชิญและเลี้ยงดูเราด้วยพระวาจาที่ทรงชีวิตและพระกายที่นำความรอดของพระองค์ ในพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์ ให้เราได้ตอบสนองและร่วมในพิธีมิสซานี้ด้วยความเชื่อไว้ใจ และให้พระองค์เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของเรา ให้เราได้กราบขอสมาโทษพระองค์หากเรายังวางใจในสิ่งอื่นภายนอกมากกว่าพระองค์
ตอไม้มะค่านาตู้โยชน์ ที่เคยให้ลำต้นทำม้านั่งในวัด เวลานี้ยังให้รากเพื่อประดับวัด

บทอ่านที่ 1: หนังสือประกาศกอิสยาห์ 49:14-15

ประกาศกอิสยาห์ได้ให้กำลังใจประชากรอิสราแอล ด้วยการให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าพระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา แม้จะเป็นข้อความสั้นๆ แต่งดงาม โดยนำเสนอพระเจ้าเป็นดังแม่ที่รักลูก แม้หญิงเหล่านี้จะลืมลูกของนางได้ แต่พระเจ้าจะไม่มีวันลืมเรา สิ่งที่ทำให้ใครคนหนึ่งเจ็บปวดมากที่สุดคือ “การถูกลืม” ดังนั้น ให้เราไปเยี่ยมและช่วยเหลือคนที่ถูกทอดทิ้ง

บทอ่านที่ 2: จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ ฉบับที่ 1 4:1-5

เปาโลได้แสดงให้เห็นว่า ท่านและผู้ร่วมงานของท่านเป็น “ผู้รับใช้” ของพระคริสตเจ้า และ “ผู้จัดการ” เกี่ยวกับธรรมล้ำลึกของพระเจ้า ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่น่าไว้ใจได้สำหรับพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมาย และไม่ตัดสินเรื่องใดๆ ก่อนจะถึงเวลา มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้ตัดสินเที่ยงธรรม เพราะพระองค์ทรงทราบถึงส่วนลึกในจิตใจของเรา
คุณพ่อธีรพงศ์ นาแว่น ทำพิธีฝังศฟ ยอแซฟ ลัน ผิวยะเมือง เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์


พระวรสาร: นักบุญมัธทิว 6:24-34

พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงปลุกเร้าเราให้หลีกเลี่ยงความหวาดกลัวและความกังวลเกี่ยวกับสิ่งภายนอกทุกอย่าง แล้วมอบชีวิตของเราในพระหัตถ์ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ เพราะเรามีความสำคัญและคุณค่ายิ่งใหญ่ต่อหน้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างเรามาตามฉายาของพระองค์ สิ่งที่เราควรทำคือ วางใจในพระองค์
ขอบคุณครอบครัวป้าพร หาวงศ์ (พัทยา) พร้อมลูกๆ ที่เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร 

ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1) ขอบคุณกลุ่มคริสตชนพื้นฐานกลุ่มที่ 9 ที่มาช่วยกันทำความสะอาดวัด กลุ่มที่รับผิดชอบอาทิตย์ต่อไปคือกลุ่มที่ 10

2) รายนามผู้บริจาคสมทบกองทุนบูรณะวัดไม้: (1) ผู้ใหญ่ส่วน ผิวยะเมือง 500.- บาท , (2) นางสาวกิรตรา ยอดค่ำอ่อน 5,000.- บาท

บรรยากาศการกินปลาห้วยยาว ของพี่น้องชาวนาบัวหลังมิสซาวันอาทิตย์ (27 กุมภาพันธ์)

3) ขอคำภาวนาสำหรับดวงวิญญาณของ แม่อันมารีย์ สีไว ฮุงหวล คณะรักกางเขนแห่งท่าแร่ ซึ่งพระได้ยกไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ จะมีพิธีปลงศพ วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ณ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ เวลา 15.00 น.

4) ขอเชิญร่วมฉลองวัด: (1) วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม วัดแม่พระรับสาร หนองเดิ่น, (2) วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม วัดพระคริสตราชา นาจาร, (3) วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย มิสซาเวลา 10.00 น.

5) เงินทานเสาร์ 338.- บาท, วันอาทิตย์ 3,763.- บาท, เงินต้นมิสซาปลงศพยอแซฟ ลัน ผิวยะเมือง (21 กุมภาพันธ์) 5,570.- บาท, เงินต้นมิสซาอุทิศให้ ฟิลิป สมบูรณ์ พรมโคตร (21 กุมภาพันธ์) 2,380.- บาท; เงินทานวัดโพนสวาง 336.- บาท

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระญาณสอดส่องของพระเจ้า

สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา ปี A
อสย 49:14-15
1 คร 4:1-5
มธ 6:24-34

บทนำ

“สุดสลด! พ่อแจ้งจับแม่ หลังพาลูกสาว 3 คนเร่ขายตัว” นี่คือข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเมื่อต้นเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว (5 ต.ค. 2010) เนื้อข่าวก็คือ หนุ่มใหญ่วินมอเตอร์ไซด์ย่านดินแดงได้เข้าร้องทุกข์ “มูลนิธิปวีณา” ให้ช่วยจับเมีย หลังพาลูกสาว 2 คนและลูกเลี้ยงอีก 1 คน เร่ขายบริการทางเพศให้ชาวต่างชาติ โดยบังคับขายตัวตั้งแต่ 6 ขวบ นานเป็นปี ความเพิ่งมาแตกหลังเห็นลูกเลี้ยงกลับบ้านตอนเช้า เมื่อทราบความจริงจากปากลูกทั้งสามถึงกับทำใจไม่ได้ ขณะที่แม่ยังให้การปฏิเสธ

ข่าวในลักษณะเช่นนี้จะได้ยินบ่อยมาก ในยุคสมัยที่ถือเงินตราเป็นพระเจ้า ลัทธิวัตถุนิยมที่บูชาเงินตราได้ครอบงำจิตใจมนุษย์ ทำให้เงินมีความสำคัญเหนือความถูกต้องชอบธรรม จนทำให้แม่ผู้ให้กำเนิดมองข้ามคุณค่าความเป็นมนุษย์ของลูก ยอมขายลูกเพื่อให้ได้เงินหรือสิ่งของที่ตนเองต้องการ โดยไม่สนใจว่าจิตใจของลูกจะเจ็บปวดและบอบช้ำแค่ไหน ในเวลาที่ต้องกลายเป็นที่ละบายความใคร่ของคนที่ไม่เคยรู้จัก

สังคมทุกวันนี้มองอะไรเป็นธุรกิจไปหมด เงินทองมีอิทธิพลเหนือจิตใจสูงมาก แต่ในท่ามกลางสภาพสังคมที่ฟอนเฟะ สิ้นหวัง ประกาศกอิสยาห์ได้ยืนยันกับประชากรอิสแอลและเราคริสตชนในปัจจุบันว่า ถึงแม้แม่จะลืมบุตรที่ยังกินนมและไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนาง แต่พระเจ้าจะไม่ลืมเรา พระเจ้ายังทรงซื่อสัตย์ต่อประชากรของพระองค์และทรงรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ แม้เราจะหันหลังให้พระเจ้าและไว้ใจในตนเอง บุคคลอื่น เงินตรา หรือสิ่งวัตถุภายนอก แต่พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา

1. พระญาณสอดส่องของพระเจ้า

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้เตือนเราว่า เราเป็นบุตรที่มีค่ายิ่งของพระเจ้า พระองค์ทรงรักและดูแลเอาใจใส่เรา ทรงบอกเรามิให้วิตกทุกร้อนหรือเป็นกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดๆ ทรงบอกให้เราดูนกในอากาศและดอกไม้ในทุ่งนา ที่พระบิดาเจ้าทรงดูแลและเลี้ยงดูมัน ทั้งนี้ เพื่อเราจะได้วางใจในพระองค์ เพราะมนุษย์ประเสริฐกว่านกและดอกไม้เป็นไหนๆ และพระเจ้าทรงเอาใจใส่เราเป็นพิเศษ

ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ “พระญาณสอดส่องของพระเจ้า” ที่ทรงดูแลเอาใจใส่เรา เราจึงไม่ควรวิตกทุกข์ร้อน แต่ควรวางใจในความรักและการเอาใจใส่ของพระเจ้า คริสตชนจะต้องวางทุกอย่างของตนในมือของพระเจ้า ดังนั้น ความภักดีของเราต่อพระเจ้าจึงไม่ควรแบ่งแยก แต่จะต้องวางใจในพระองค์อย่างสิ้นเชิง พระเยซูเจ้าทรงยืนยันหนักแน่นว่า เราไม่สามารถเป็น “ข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้” นั่นคือ เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและเงินตราในเวลาเดียวกันได้

พระเยซูเจ้าต้องการสอนศิษย์ของพระองค์ว่า “อะไรคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเรา” เราจะต้องตัดสินใจเลือกระหว่างพระเจ้ากับเงินทองหรือสิ่งวัตถุภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้เพราะขัดแย้งกับเป้าหมายแห่งชีวิต พระเยซูเจ้าทรงแนะนำไม่ให้เรากังวลเกี่ยวกับปัญหาในชีวิตของเรา เช่น การกิน การดื่ม และการนุ่งห่ม พระบิดาเจ้าของเราทรงทราบว่าเราต้องการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงแนะนำเราว่า “จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้” (มธ 6:33)

2. บทเรียนสำหรับเรา

คำถามที่เราจะต้องถามตนเองอยู่เสมอคือ “อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา” เป็นความจริงว่า เรามีความกังวลหลายอย่างในชีวิต ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่เกาะกินใจเราอยู่เสมอ ที่สร้างปัญหาและความรำคาญให้กับชีวิตของเราไม่เว้นแต่ละวัน เช่น พ่อแม่กังวลเกี่ยวกับอนาคตลูก คนงานกังวลเกี่ยวกับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่ นักเรียนกังวลเกี่ยวกับการสอบที่กำลังจะมาถึง คนป่วยกังวลเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บที่ตนเองเป็นอยู่ ความกังวลเหล่านี้ทำให้เราวุ่นวายใจ

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงสอนศิษย์ของพระองค์ ไม่ให้กังวลเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม พระองค์มิได้ประณามสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเหล่านี้ แน่นอนว่า เราจะต้องวางแผนสำหรับอนาคต แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องแสวงหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเราคือ ความรอดนิรันดร “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต” (มธ 16:26) ชีวิตของเราจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราเดินมุ่งตรงไปยังอาณาจักรของพระบิดาเจ้า นี่คือ สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราจะต้องเป็นกังวล

พระเยซูเจ้าทรงสอนเราในปัจจุบันว่า เราจะต้องวางปัญหาทุกอย่างไว้กับพระเจ้า ไว้ใจในพระองค์ว่าจะทรงดูแลเอาใจใส่เรา สิ่งที่เราควรจะกล่าวกับตนเองทุกวันคือ “ขอบคุณพระเจ้า... มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” แล้วหันเหชีวิต ทัศนคติ และจิตใจของเราไปยังพระเยซูเจ้า คริสตชนจะต้องไม่กังวล เพราะเราวางใจความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความกังวลคือสิ่งบอกเหตุว่าเราขาดความไว้ใจในพระองค์

พระเยซูเจ้าทรงให้แนวทางในการเอาชนะความกังวลเหล่านี้:

ประการแรก เราจะต้องมีจิตใจเพ่งไปที่อาณาจักรของพระเจ้า คือการดำเนินชีวิตตามแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า ความรักที่เปี่ยมล้นในพระเจ้าจะขจัดความกังวลให้หมดสิ้นไป

ประการที่สอง ความกังวลจะหมดสิ้นไป เมื่อเราเชื่อในพระญาณสอดส่องของพระเจ้า ที่ทรงมีแผนการสำหรับชีวิตเราและทรงเอาใจใส่ดูแลเราเสมอ แม้ในห้วงเวลาของความยากลำบาก

ประการที่สาม เราจะต้องดำเนินชีวิตในปัจจุบันโดยไม่คิดถึงอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง เวลาที่สำคัญที่สุดคือ “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้” ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่ต่อหน้าเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องวางแผนหรือเตรียมการสำหรับอนาคต อีกทั้ง เรายังต้องใส่ใจในความต้องการของผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่พระเยซูเจ้าต้องการสอนเราคือ การหยุดใส่ใจในหนทางที่นำเราไปสู่บาป

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าเตือนศิษย์ของพระองค์และเราในปัจจุบัน ให้เชื่อไว้ใจในพระเจ้า ซึ่งเป็นองค์แห่งความรักและความดีบริบูรณ์ พระองค์ทรงทราบดีถึงความต้องการของเราแต่ละคน และทรงจัดหาทุกอย่างเพื่อเรา นี่คือ สิ่งที่เราเรียกว่า “พระญาณสอดส่อง” ดังนั้น เราจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเป็นกังวล หรือวิตกทุกข์ร้อน เพราะพระบิดาเจ้าผู้ทรงรู้ทุกอย่าง พระองค์ทรงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับเราและสิ่งที่จำเป็นสำหรับลูกของพระองค์ทุกคน

เราจะต้องตระหนักเสมอว่า พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่เราเหมือนบิดาที่ปฏิบัติต่อลูก แม้แม่ในโลกนี้จะลืมลูกของนางได้ แต่พระเจ้าไม่เคยลืมและทอดทิ้งเรา ให้เราได้วางใจในพระเจ้าทุกวันเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคปฏิบัติในความรักต่อกันและบอกตนเองเสมอว่า “จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้” (มธ 6:33)

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
25 กุมภาพันธ์ 2011

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เพื่อนเก่า

การพบปะกันครั้งแรกที่เชียงใหม่ 24 พฤศจิกายน 2000

 เพื่อนเก่า

มีเรื่องเล่าว่า เพื่อนรักสองคนร่วมเดินทางข้ามทะเลทรายไปด้วยกัน ระหว่างทางเกิดความไม่เข้าใจและโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เพื่อนคนหนึ่ง พลั้งมือตบหน้าอีกคนหนึ่ง คนที่ถูกทำร้ายรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดมาก แต่ไม่โต้ตอบอะไร กลับใช้นิ้วเขียนบนผืนทรายว่า “วันนี้ ถูกเพื่อนตบหน้า”

ทั้งสองคนยังคงเดินทางต่อไปด้วยกัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งถึงแหล่งน้ำ ทั้งสองตัดสินใจลงอาบน้ำชำระร่างกาย พลันนั่นเอง คนที่ถูกตบหน้าเกิดจมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอรีบเข้าช่วยชีวิต ทำให้เพื่อนคนนั้นรอดตาย แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร กลับสลักข้อความลงบนหินว่า “วันนี้ เพื่อนรักช่วยชีวิตไว้”

เพื่อนคนนั้นรู้สึกแปลกใจ จึงถามว่า “เมื่อถูกเราตบหน้า นายเขียนข้อความบนทราย แล้วทำไมเมื่อครู่ กลับสลักลงบนหิน” เพื่อนคนถูกตบหน้ายิ้มและพูดว่า “เมื่อเพื่อนทำไม่ดี เราเขียนมันไว้บนทราย เพื่อให้สายลมแห่งการให้อภัย พัดผ่านและลบล้างไม่ให้เหลืออะไร แต่เมื่อเพื่อนทำดีช่วยชีวิต เราสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ ซึ่งสายลมไม่สามารถลบล้างหรือทำลายได้”

เราคงเคยได้ยินคำคมที่ว่า “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้” ในชีวิตของมนุษย์แต่ละคนต้องมีเพื่อนที่เคยช่วยเหลือ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ก่อนจะแยกจากกันไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละคน เพื่อนเก่าเป็นเหมือนกับรูปถ่าย ซึ่งเป็น “ความทรงจำที่น่าภาคภูมิใจ” ดังนั้น การได้มีโอกาสมาพบปะกันจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า คล้ายกับการได้หยิบรูปถ่ายในอัลบั้มขึ้นมาปัดฝุ่น คิดถึงเหตุการณ์และเรื่องราวในภาพเหล่านั้น

แต่การได้มีโอกาสพบปะกันเป็นมากกว่าการดูภาพเก่าๆ โดยลำพัง เพราะได้รับรู้ความเป็นไปของเพื่อนในช่วงที่ห่างหายไม่เจอกัน อาทิความทุกข์ของเพื่อนฆราวาสคนหนึ่งที่เพิ่งสูญเสียลูกชาย การได้อยู่ด้วยกันแม้เพียงเวลาสั้นๆ จึงเป็นกำลังใจและยาขนานเอกสำหรับกันและกัน ซึ่งบางครั้งไม่ต้องพูดอะไรมาก เพียงแค่ได้เจอหน้ากันก็มีความสุขแล้ว

การได้พบกันจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ทุกคนถวิลหา และคิดว่า “น่าจะพบกันบ่อยครั้งขึ้น อาจเป็นปีละครั้ง”เพราะแต่ละคนต่างอายุมากขึ้น เพื่อนดีๆ ที่เข้าใจกันนั้นเริ่มมีน้อยลงและหายากขึ้นทุกที คงมีแต่ “เพื่อนเก่า” เท่านั้นแหละ ที่พอจะเข้าใจและพูดจากันรู้เรื่อง เพื่อนบางคน 30 ปีแล้วที่ไม่เจอกัน การได้พบกันจึงเป็นความยินดีและประสบการณ์อันล้ำค่าที่หาที่ไหนไม่ได้ นอกจากใน “เพื่อนเก่า” ของเรา
เพื่อนเก่าจากบ้านเณรฟาติมาท่าแร่ 30 ปีที่ไม่ได้เจอกัน

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
ไร่วนานุรักษ์ วังน้ำเขียว
24 กุมภาพันธ์ 2011

หมายเหตุ เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เข้าบ้านเณรใหญ่แสงธรรมมีทั้งหมด 29 คน ได้บวชเป็นพระสงฆ์ 17 คน (รวมนักบวช 20 คน) ถือเป็น “แสงธรรม รุ่น 15” (2529/1986) การรวมรุ่นครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ธารารีสอร์ท พัทยา ของคุณวีระศิลป์-เสาวนีย์ ธาราศิลป์ ถือเป็นที่สงบและสวยงามมาก

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สารวัดนาบัว, ปีที่ 1 ฉบับที่ 41

สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
ปีที่ 1 ฉบับที่ 41, วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554): http.//dondaniele.blogspot.com
บ้านนาบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า “จงรักศัตรูและจงภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน” ความรัก เป็นหัวใจของคำสอนของพระเยซูเจ้า ที่ทรงสอนศิษย์ของพระองค์ให้รักทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนที่รักเรา ผู้ทำดีต่อเรา หรือญาติมิตรของเราเท่านั้น แต่ต้องรักแม้กระทั่งศัตรูและผู้ที่ทำไม่ดีต่อเรา เราจะต้องตอบแทนความชั่วด้วยความดี และภาวนาให้ผู้ที่ทำไม่ดีต่อเรา

หลายคนอาจคิดว่า นี่คือแนวทางการดำเนินชีวิตสำหรับผู้ที่จะเป็นนักบุญ แต่ในความเป็นจริง นี่คือรูปแบบชีวิตของคริสตชนทุกคนที่ทรงเรียกร้องจากเรา ในชีวิตของเราคงมีหลายคนที่ทำไม่ดีต่อเรา ที่เรารู้สึกโกรธและเกลียด เราได้ปฏิบัติตนต่อพวกเขาเหล่านี้อย่างไร ให้เราได้วอนขอการอภัยโทษจากพระเจ้า เพื่อเราจะสามารถรักและให้อภัยพวกเขาได้

บทอ่านที่ 1: หนังสือเลวีนิติ 19:1-2,17-18

โมเสสได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าให้บอกประชากรอิสราแอลว่า พวกเขาจะต้องเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่า พวกเขาจะต้องไม่โกรธ ไม่เกลียดชังกัน ไม่แก้แค้น ไม่พิพากษาโดยเบาความ ไม่อิจฉาริษยา แต่ต้องรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง หนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์คือการรักตนเอง ผู้อื่นและพระเจ้า

บทอ่านที่ 2: จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ฉบับที่ 1  3:16-23

นักบุญเปาโลได้เตือนชาวโครินทร์ว่า พวกเขาได้รับพระจิตเจ้าแล้ว เมื่อมีพระจิตเจ้าประทับอยู่ พวกเขาเป็นวิหารของพระจิตเจ้า ดังนั้น พวกเขาต้องเป็นคนศักดิ์สิทธิ์และให้ความเคารพต่อร่างกายของตนเองและผู้อื่น เปาโลได้ให้ความมั่นใจแก่ชาวโครินทร์ว่า พวกเขาเป็นของพระคริสตเจ้า ในพระคริสตเจ้าทุกคนเป็นหนึ่งเดียว

พระวรสาร: นักบุญมัธทิว 5:38-48

พระวรสารวันนี้คือ การปฏิวัติคำสอนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ เราได้ยินคำสอนเรื่อง “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” หรือ “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” เพราะศัตรูคือผู้ที่ต้องทำลายล้างให้สิ้นไป แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า เราต้องรักศัตรูและภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนเรา เราไม่สามารถเกลียดชังหรือทำลายล้าง มิฉะนั้นความแค้นเคืองจะไม่มีวันหมดสิ้น
การบูรณะวัดไม้ ช่างกำลังทำมุขด้านหน้า

ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1) ขอบคุณกลุ่มคริสตชนพื้นฐานกลุ่มที่ 8 ที่มาช่วยกันทำความสะอาดวัด กลุ่มที่รับผิดชอบอาทิตย์ต่อไปคือกลุ่มที่ 9

2) ขอบคุณพี่น้องที่มาช่วยกันตั้งเสาเอกหอระฆังเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หอระฆังนี้จะได้ชื่อว่า “หอระฆังแม่พระราชินีแห่งสันติภาพ” ตามนามชื่อวัดของเราในอดีตที่จารึกไว้ในระฆัง เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพระพรของพระเจ้าผ่านทางแม่พระ ที่คอยปกปักรักษาหมู่บ้านของเราให้มีสันติสุข

3) วันจันทร์ที่ 21 ถึง ศุกร์ที่ 25 นี้ คุณพ่อไปประชุมรุ่นที่พัทยา ชลบุรี ใครที่มีความจำเป็นด้านศีลศักดิ์สิทธิ์ ให้ติดต่อคุณพ่อสุรวุฒิ สมงาม เจ้าอาวาสวัดหนองบก มือถือ 087 919 4315 หรือคุณพ่อพรทวี โสรินทร์ หัวหน้าเขต มือถือ 086 019 3511

4) วัดของเราจะมีการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก (ป.4) และศีลกำลัง (ป.6) ในวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม โดยพระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ขอความร่วมมือจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ได้ช่วยเตือนบุตรหลานให้มาวัดเรียนคำสอนด้วย

5) รายนามผู้บริจาคสมทบกองทุนบูรณะวัดไม้: นางสาวกิรตรา ยอดค่ำอ่อน 5,000.- บาท

6) ฉลองวัดในอาทิตย์นี้: (1) วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ วัดแม่พระมหาการุญ หนองบก, (2) วัดนักบุญมาร์การิตา อาลาก๊อก หนองบัวทอง, (3) วัดนักบุญฟรังซิส เดอ ซาล เชียงยืน มิสซาเวลา 10.00 น.

7) เงินทานวันเสาร์ 488.- บาท, วันอาทิตย์ 2,413.- บาท, เงินทานมิสซายกเสาเอกหอระฆัง (16 ก.พ.) 400.- บาท; เงินทานวัดโพนสวาง 336.- บาท
การทำผนังคอนกรีตกันดิน และทางระบายน้ำรอบตัววัดไม้
คำจารึกบนระฆังของวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เสาเอกหอระฆังไม้

 ชาวนาบัวพร้อมใจตั้งเสาเอกหอระฆัง


นาบัว  เมื่อวันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์ เจ้าอาวาสวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว เป็นประธานในพิธีมิสซาขอพรสำหรับการตั้งเสาเอกหอระฆังไม้ของวัดนาบัว เพื่อทำบุญและภาวนาอุทิศให้บรรดามิสชันนารี คุณพ่อเจ้าอาวาส และบรรพชนของชาวนาบัวในอดีต ที่มีส่วนในการนำความเชื่อและความเจริญมาสู่นาบัว

หลังมิสซา คุณพ่อขวัญได้เสกหลุมที่จะใช้ตั้งเสาเอกและภาวนาเพื่อขอพรจากพระเจ้าสำหรับหอระฆังที่จะสร้างใหม่ ให้เป็นเครื่องหมายแห่งพระพรและความสมัครสมานสามัคคีของพี่น้องชาวนาบัว โดยบอกกับพี่น้องชาวนาบัวว่า หอระฆังนี้จะได้ชื่อว่า “แม่พระราชินีแห่งสันติภาพ” ตามนามชื่อที่ปรากฏในระฆังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อรักษาชื่อเดิมของวัดนาบัวในอดีต อีกทั้ง ขอให้แม่พระปกรักษาและอวยพรชาวนาบัวให้มีความสุขและความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

จากนั้น รถยกได้ยกเสาไม้ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 70 เซนติเมตร ยาว 630 เซนติเมตร ลงในหลุมที่เตรียมไว้ ก่อนที่พี่น้องชาวนาบัวจะช่วยกันเทฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อยึดเสาไม้ให้ตั้งตรง เป็นเสาเอกที่จะรองรับเสาบริวารอีก 4 ต้น สำหรับการก่อสร้างหอระฆังไม้ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในโครงการเตรียมฉลอง 125 ปีแห่งความเชื่อและการแพร่ธรรมของหมู่บ้าน

อนึ่ง วัดนาบัว เคยมีหอระฆังไม้คู่กับวัดไม้หลังที่กำลังบูรณะอยู่นี้ (ซึ่งเป็นวัดไม้ที่ประณีตสวยงาม โดยการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยคุณพ่อปิแอร์ โกลาส์ (S.A.M.) แต่เมื่อสร้างวัดใหม่หลังปัจจุบัน ได้มีการย้ายวัดไม้และรื้อถอนหอระฆังนี้ทิ้งไป ในการเตรียมฉลอง 125 ปีแห่งความเชื่อและการแพร่ธรรม ทางสภาอภิบาลและพี่น้องชาวนาบัวได้เห็นชอบให้สร้างหอระฆังไม้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้แข็งแรงและสวยงามกว่าเดิม เพื่อคู่กับวัดไม้และสืบสานประเพณีลั่นกลองย่ำระฆังในวันฉลองวัดเหมือนเช่นอดีต

Don Daniele ภาพ/รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
19 กุมภาพันธ์ 2011