วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้า

วันที่ 1 มกราคม สมโภชพระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้า (วันขึ้นปีใหม่)
กดว 6:22-27
กท 4:4-7
ลก 2:16-21

บทนำ

คำว่า “January” ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าเดือนมกราคม มาจากชื่อเทพเจ้าโรมันที่ชื่อ “Janus” ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่มีสองหน้า หน้าหนึ่งสำหรับมองย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา และอีกหน้าหนึ่งสำหรับมองไปยังอนาคตข้างหน้า ดังนั้น เมื่อเราเริ่มต้นเดือนมกราคม วันที่ 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่ จึงเป็นช่วงเวลาที่เตือนใจเราให้มองย้อนไปยังขวบปีที่ผ่านมา อีกทั้งมองไปยังปีใหม่ข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย

สิ่งที่เราต้องพิจารณาเป็นพิเศษตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คือเราได้ใช้ชีวิตของเราอย่างไร ดำเนินชีวิตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เราได้ใช้เวลาทั้งหมดที่มีอย่างสมดุลระหว่างเวลาทำงานกับเวลาที่ให้กับครอบครัว กับเพื่อน กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระเจ้าหรือเปล่า มีสิ่งไหนบ้างที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและประสบผลสำเร็จที่เราได้รับมา ซึ่งควรได้รับการสานต่อให้ดียิ่งขึ้นในปีใหม่นี้ หรือมีสิ่งไหนบ้างที่เราล้มเหลวไม่บรรลุผลตามที่วางไว้ ซึ่งควรได้รับการแก้ไข

ในวันแรกของปีใหม่ พระศาสนจักรให้เราสมโภชพระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้า มารดาของพระเยซูเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ นอกนั้น ในวันนี้พระศาสนจักรยังให้เราทำการฉลอง “วันสันติภาพของโลก” และเชิญชวนเราแต่ละคนให้ภาวนาเพื่อสันติภาพของโลก พระนางมารีย์ได้เป็นแบบอย่างสำหรับเราในด้านความเชื่อ ความหวัง และการภาวนา ด้วยการน้อมรับแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้าในการเป็นมารดาของพระเจ้า ทำให้โลกมีองค์พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าและมนุษย์ที่ประทับท่ามกลางเราจนกระทั่งวาระสุดท้าย

1. พระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้า

วันนี้เป็นวันฉลองพิเศษที่ยืนยันสิ่งที่เราคาทอลิกเชื่อเสมอมา นั่นคือ พระนางมารีย์เป็นมารดาของพระเจ้า ข้อความเชื่อนี้ถือเป็นศูนย์กลางของความเชื่อทุกอย่างเกี่ยวกับแม่พระ เป็นความจริงยิ่งใหญ่ที่พระศาสนจักรให้เราเฉลิมฉลองในวันแรกของปี ในแง่นี้แม่พระจึงได้รับเกียรติเหนือเทวดาและมนุษย์ทุกคนในการเป็นมารดาของพระเจ้าผู้สูงสุด โดยได้รับการประกาศอย่างชัดเจนจากสังคายนาที่เมืองเอเฟซัส ในปี ค.ศ. 431 ว่า แม่พระเป็นมารดาพระเจ้า (Theotokos) ซึ่งบรรดาคริสตชนต่างเลื่อมใสและเรียกแม่พระเป็นมารดาพระเจ้าเช่นนี้เสมอมา

ข้อความเชื่อนี้มีที่มาจากพระคัมภีร์ซึ่งเราพบในพระวรสารของนักบุญลูกา หลังจากอัครเทวดาคาเบรียลได้แจ้งข่าวให้แม่พระทราบว่าจะเป็นมารดาของพระผู้ไถ่ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า พระนางได้เสด็จไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธเพื่อให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทันทีที่ไปถึงนางเอลีซาเบธได้กล่าวกับแม่พระว่า “ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า” (ลก 1:43) นางเอลีซาเบธเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้าและได้ประกาศว่าแม่พระเป็นมารดาของพระเจ้า

ต่อมาสภาสังคายนาแห่งเอเฟซัส ได้ยืนยันความเป็นหนึ่งเดียวของพระเยซูเจ้า ที่ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ และแม่พระเป็นมารดาของพระเจ้า เพื่อต่อต้านคำสอนที่ผิดของเนสโตริอุส (Nestorius) และในฐานะมารดาของพระเจ้า แม่พระได้รับบทบาทสำคัญในชีวิตของพระศาสนจักรยุคแรกเริ่ม โดยแม่พระอยู่ในกลุ่มของบรรดาคริสตชนยุคแรกที่รวมตัวกัน (กจ 1:14) ร่วมส่วนในการภาวนา ในการฟังคำเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวก และร่วมในพิธีบิปัง (กจ 2:42) ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของพระศาสนจักรใหม่ที่เพิ่งก่อตั้ง

2. บทเรียนสำหรับเรา

วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่และเป็นวันแรกแห่งชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา พูดให้เข้าใจง่ายคือ เราแก่ขึ้นอีกปีและใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ ดังนั้น วันนี้จึงเป็นวันที่เพิ่มพูนความหวังในตัวเราและเตือนใจเราให้รู้ระวังว่า วันแรกแห่งชีวิตที่เหลืออยู่ของเราได้เริ่มต้นแล้ว ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นี่คือชีวิตของเรา เป็นเราที่จะต้องรับผิดชอบต่อที่ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ดังคำกล่าวของนักบุญเอากุสตินที่ว่า “พระเจ้าผู้ทรงสร้างท่าน หากปราศจากตัวท่านพระองค์คงไม่สามารถช่วยท่านให้รอดได้” เราจึงต้องเอาชนะใจตัวเอง เป็นนายเหนือความต้องการและความโน้มเอียงที่ไม่ดีในตัวเรา

ในวันแรกของปีนี้ ให้เราได้โมทนาคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา ที่อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงปีใหม่ บางคนกำลังเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า แล้วก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ถึงปีใหม่ เพราะเสียชีวิตเสียก่อนจากการทะเลาะเบาะแว้ง ตีรันฟันแทงกันจนถึงแก่ชีวิต บางคนกำลังเดินทางมาฉลองปีใหม่ แต่มาไม่ถึงเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างทางอย่างที่เราเห็นเป็นข่าวทุกปี ชีวิตที่เรามีอยู่จึงเป็นพระพรที่เราต้องขอบคุณพระเจ้าทุกวัน

นอกนั้น ในวันแรกของปีพระเจ้าได้ประทานของขวัญปีใหม่ให้เรา นั่นคือ พระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้า พระศาสนจักรให้เราได้เริ่มต้นเช้าวันปีใหม่ด้วยการถวายเกียรติแด่แม่พระ “มารดาของพระเจ้า” และ “มารดาของชาวเรา” แม่พระได้แสดงให้เราได้เห็นถึงความไว้ใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ที่มอบทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ดังนั้น ความยิ่งใหญ่ของแม่พระที่เราฉลองในวันนี้ ไม่ใช่อยู่ที่การเป็นมารดาของพระเจ้า แต่อยู่ที่ชีวิตของพระนางในการทำทุกอย่างตามแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38)

พระวรสารวันนี้ได้นำเสนอแม่พระในฐานะที่เป็นต้นแบบแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้า ซึ่งเราทุกคนล้วนต้องการในปีใหม่นี้ แม่พระได้เก็บเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ในใจและใคร่ครวญดู (ลก 2:19, 51) ให้เราได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของแม่พระ ในการฟังเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเรา และรักษาพระวาจาของพระองค์ให้คงอยู่ในใจเรา ปีใหม่นี้จึงจะเป็นชีวิตใหม่แห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ในวันเริ่มต้นปีใหม่ ให้เราได้สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าสำหรับเวลาแห่งชีวิตซึ่งเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่ทรงประทานแก่เรา ให้เราได้แน่ใจในแผนการแห่งความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ซึ่งได้เปิดเผยให้เราทราบผ่านทางเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ผ่านทางบุคคลต่างๆ และผ่านทางการภาวนาด้วยความสุภาพถ่อมตนตลอดปีที่ผ่านมา

ในวันแรกของปีใหม่นี้ ให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับแม่พระ เพื่อวอนขอพระพรจากพระเจ้าสำหรับตัวเรา ครอบครัว และหมู่คณะของเรา เพื่อเราจะได้เรียนรู้จักพระเยซูเจ้า รักพระองค์ และรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ตามบทบาทและฐานะของเรา เหมือนอย่างแม่พระได้กระทำเสมอตลอดชีวิตของพระนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความวางใจพระเจ้า และกระทำทุกอย่างตามแผนการและน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เราได้มองไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายที่จะทำตามหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด จนสุดความสามารถตลอดปีนี้เช่นกัน

ที่สุด ขอพระนางมารีย์พระชนนีพระเจ้าที่เราสมโภชในวันนี้ และพระเยซูเจ้าพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ บุตรสุดที่รักของพระนาง ได้โปรดอวยพรเราในวันปีใหม่นี้และตลอดไป:

 ให้เรามีความสุขที่พอดี เพื่อชีวิตเราจะได้มีชีวิตชีวา

 ให้เรามีความยากลำบากบ้าง เพื่อเราจะได้เข้มแข้ง

 ให้เรามีความทุกข์บ้าง เพื่อเราจะได้รู้ถึงความเป็นมนุษย์ของเราและผู้อื่น

 ให้เรามีความหวังที่เพียงพอ เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าจะพบความสุข

 ให้เราพบความล้มเหลวบ้าง เพื่อเราจะได้มีความสุภาพถ่อมตน

 ให้เราพบความสำเร็จบ้าง เพื่อเราจะได้มีความกระตือรือร้น

 ให้เรามีเพื่อนที่มากพอ เพื่อเราจะได้รับความรัก

 ให้เราพบความร่ำรวยพอประมาณ เพื่อเราจะได้พึงพอใจในชีวิต

 ให้เราพบความจริงใจพอสมควร เพื่อเราจะได้มองไปข้างหน้า

 ให้เรามีความเชื่อที่เพียงพอ เพื่อขจัดความโศกเศร้าให้หมดไป

 ให้เรามีความตั้งใจแน่วแน่เพียงพอ เพื่อจะทำให้แต่ละวันในชีวิตของเราดีกว่าเมื่อวาน

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
30 ธันวาคม 2010

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สารวัดนาบัว, ปีที่ 1 ฉบับที่ 33

สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
ปีที่ 1 ฉบับที่ 33, วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553): http.//dondaniele.blogspot.com
บ้านนาบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231

 สมโภชพระคริสตสมภพ

วันนี้เราฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดมาในโลก พระองค์ทรงเป็นดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างแก่โลกและให้ความอบอุ่นแก่สิ่งมีชีวิต พระองค์ไม่เพียงบังเกิดมาเมื่อสองพันปีก่อน แต่ยังคงประทับอยู่ท่ามกลางเราในปัจจุบัน เป็นต้นในคนยากจน คนเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ

ดังนั้น วันนี้เราไม่เพียงแต่กล่าว “สุขสันต์วันคริสต์มาส” แก่กันและกันเท่านั้น แต่จะต้องพยายามเจริญชีวิตเป็นความชื่นชมยินดี ความรัก และสันติสุขสำหรับผู้อื่น ให้เราเงียบสักครู่หากชีวิตของเราไม่ได้เป็นความยินดี ความรัก และสันติสุขสำหรับผู้อื่นอย่างที่ควรจะเป็น และขอสมาโทษพระองค์ เพื่อเราจะเหมาะสมสำหรับการร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้
บรรยากาศการซ้อมละครเทวดานานร่วมเดือนของบรรดานักเรียนคำสอน
ก่อนจะแสดงจริงในคืนคริสต์มาส

บทอ่านที่ 1: หนังสือประกาศกอิสยาห์ 52:7-10

ประกาศกอิสยาห์ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ จากถิ่นเนรเทศในบาบิโลนกลับคืนสู่ศิโยน นครเยรูซาเล็มศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนมีความยินดี พระศาสนจักรได้ประยุกต์ข้อความตอนนี้กับความยินดีแห่งการไถ่กู้ ที่พระเจ้าได้ประทานแก่โลกผ่านทางพระเยซูเจ้า
บรรยากาศการแห่ดาวใหญ่ 13 ดวงรอบหมู่บ้าน ในวันที่ 24 ธันวาคม เวลา 15.00 น.
สาเหตุที่ต้องแห่กลางวันก็ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ต้องข้ามถนนใหญ่ถึงสองจุด

บทอ่านที่ 2: จดหมายถึงชาวฮีบรู1:1-6

ในอดีตพระเจ้าได้ตรัสกับเราผ่านทางประกาศก แต่ในปัจจุบันพระเจ้าตรัสกับเราผ่านทางพระบุตร พระวจนาตถ์ที่ทรงรับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนแห่งพระสิริของพระเจ้า เราคริสตชนสามารถพบพระเจ้าได้ในสิ่งสร้างของพระองค์ในชีวิตประจำวัน
ดาวใหญ่จากโรงเรียนบ้านนาบัว โดยการนำของ ผอ.พิเชษฐ์ ไชยบุญตาและคณะครู
(ปีที่แล้วคว้ารางวัลชนะเลิศ)

พระวรสาร: นักบุญยอห์น 1:1-8

นักบุญยอห์นเตือนเราในพระวรสารวันนี้ว่า “พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา” และยังคงประทับอยู่ท่ามกลางเราในปัจจุบัน ให้เราได้เข้ามาใกล้พระองค์ เพื่อขอให้พระองค์ได้เติมเต็มชีวิตที่ว่างเปล่าของเรา และทำให้ชีวิตของเราสว่างไสวไปด้วยความรักของพระองค์
มีการจับสลากคริสต์มาส ซึ่งได้รับการสนับสนุนของรางวัลจากพี่น้องชาวนาบัว
ป้าจันทร์ ลาวรรณ ดวงจันทร์ ที่เพิ่งสูญเสียบุตรสาวจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ได้รางวัลจักรยาน 
 ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1) ขอบคุณพี่น้องทุกกลุ่ม ทุกคุ้ม ที่ช่วยกันจัดเตรียมดาวด้วยความพร้อมเพียง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกทั้งช่วยกันจัดเตรียมงานแห่ดาวที่ผ่านมา ผลการประกวดดาว กลุ่มที่ได้รางวัลชนะเลิศ คือกลุ่มที่ 9 ภายใต้การนำของ ส.อ.บ.ต. ประภาส พิมพการ, รองชนะเลิศ กลุ่มที่ 2, รางวัลที่สาม กลุ่มที่ 1
ดาวของกลุ่มที่ 9 ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดดาวในปีนี้

2) ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่ได้บริจาคของขวัญ ปัจจัย และรางวัลสำหรับจับสลากคริสต์มาส เพื่อมอบเป็นของขวัญและความยินดีสำหรับผู้อื่น ซึ่งได้รับน้ำใจจากพี่น้องชาวนาบัวอย่างล้นเหลือ ขอบคุณลูกๆ เยาวชน และครูคำสอนที่ฝึกซ้อมละครเทวดา การแสดง และจัดทำสลากคริสต์มาสด้วยความเหน็ดเหนื่อย
สีสันแห่งดวงดาวใหญ่ทั้ง 13 ดวง ยามค่ำคืน
3) ขอบคุณ ผอ.พิเชษฐ์ ไชยบุญตา และคณะครูโรงเรียนบ้านนาบัว ที่นำรายการแสดงมาสนับสนุนงานคริสต์มาสในคืนที่ผ่านมา สำหรับงานผ้าป่าที่โรงเรียน ตั้งกองผ้าป่าที่วัดแล้วแห่ไปคบงันและเค้าท์ดาวปีใหม่ที่โรงเรียนในวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคมนี้ ส่วนการมอบถวายกองผ้าป่า กระทำในวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม มิสซาเวลา 10.30 น. ที่โรงเรียน
การแสดงละครเทวดา เพื่อย้อนรำลึกการบังเกิดของพระเยซูเจ้าในคืนวันที่ 24 ธันวาคม

4) ขอเชิญร่วมโมทนาคุณพระเจ้าโอกาสวันขึ้นปีใหม่ และสมโภชพระนางมารีย์พระชนนีพระเจ้า วันเสาร์ที่ 1 มกราคม มิสซาเวลา 07.00 น. และของเชิญร่วมฉลองวัดพระนามเยซู โพนสวาง วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม มิสซาเวลา 10.30 น.
การแสดงของบรรดานักเรียนจากโรงเรียนบ้านนาบัว และบรรดาเยาวชนหลังพิธีมิสซา

5) เงินทานวันเสาร์ ได้ 394.- บาท, วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม ได้ 2,493.- บาท; เงินทานวัดพระนามเยซู โพนสวาง ได้ 248.- บาท
หลวงพ่อทองรัตน์เพชร มีชียถาวร จากวัดเบญจคีรีนคร ต.โป่งกระทิง อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
แวะมาเยี่ยมและส่งความสุขคริสต์มาสแบบเซอรฺไพรซ์ ในบ่ายวันที่ 25 ธันวาคม

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม ฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ปี A
บสร 3:3-7, 14-17ก
คส 3:12-21
มธ 2:13-15, 19-23

บทนำ

มีสามี-ภรรยาคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานใหม่ ทั้งคู่รักกันมากแม้ว่าฐานะครอบครัวของพวกเขาจะยากจนก็ตาม เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา ฝ่ายภรรยาคิดจะหาของขวัญสักอย่างให้สามี เธอตั้งใจจะซื้อสายนาฬิกาแบบห้อยคอให้สามี สำหรับนาฬิกาพกพาของเขาที่สายขาดนานมาแล้ว แต่เนื่องจากเงินไม่พอเธอจึงตัดสินใจขายผมที่ยาวสลวยของเธอ เพื่อซื้อสายนาฬิกาสำหรับนาฬิกาที่สามีรักมากเรือนนั้น

เมื่อได้ของตามที่ต้องการ เธอรีบกลับบ้านด้วยความยินดี ตั้งใจว่าจะมอบของขวัญนั้นให้สามีสุดที่รักทันทีที่เขากลับถึงบ้าน แต่เมื่อเธอกลับถึงบ้านและเปิดประตูเข้าไป เธออดแปลกใจไม่น้อยที่เห็นสามีรอเธออยู่ที่บ้านก่อนแล้ว พร้อมกับกล่องของขวัญที่ห่ออย่างดีในมือ เขาได้มอบของขวัญนั้นให้เธอพร้อมกับกล่าวว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาส ที่รัก” และเธอได้มอบของขวัญที่เตรียมไว้ให้เขาเช่นกัน

เมื่อเธอเปิดกล่องของขวัญนั้นออก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ในกล่องนั้นมีชุดหวีที่ทำจากเงินอย่างประณีตสวยงามมาก เธอได้เปิดผ้าคลุมผมออก ทำให้สามีทราบว่าเธอได้ตัดผมที่ยาวสลวยนั้นเสียแล้ว เช่นเดียวกับสามีเมื่อเปิดกล่องของขวัญที่ภรรยามอบให้ เขาพบสายนาฬิกาแบบพกพาซึ่งสวยงามมาก แต่น่าเสียดายที่เขาได้ขายนาฬิกาเรือนนั้นแล้วเพื่อซื้อชุดหวีเงินให้เธอ ของขวัญที่ทั้งคู่มอบให้แก่กันวันนั้น ดูเหมือนเป็นสิ่งไร้ค่าหาประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว แต่ความรักที่ทั้งคู่มีให้กันนั้นยิ่งใหญ่และมีค่ามากยิ่งกว่าของขวัญหลายเท่านัก

1. ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมาในครอบครัว ทรงเคารพเชื่อฟังบิดามารดาของพระองค์ และได้รับการอบรมเลี้ยงดูในบรรยากาศแห่งพระหรรษทาน ในครอบครัวที่มีแม่พระและนักบุญยอแซฟ หญิงชาวยิวและช่างไม้ธรรมดาที่รัก เห็นอกเห็นใจ และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นครอบครัวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นแบบอย่างในการแบ่งปันความความยินดี ความรับผิดชอบ และความทุกข์ในชีวิตครอบครัว พระศาสนจักรจึงยกย่องให้เป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์และเป็นแบบอย่างของครอบครัวทั้งหลาย

พระวรสารไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับครอบครัวของพระเยซูเจ้า แม่พระ และนักบุญยอแซฟมากนัก แต่เราเข้าใจว่ายอแซฟเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข เป็นบุคคลที่มีหัวใจเปิดสู่พระเจ้า เชื่อฟัง ทำตาม และพร้อมจะเผชิญกับความยากลำบากทุกอย่างเพื่อพระองค์ ยอมทิ้งบ้านอันอบอุ่นที่นาซาเร็ธเดินทางไกลไปอียิปต์เพื่อความปลอดภัย

มีสามครั้งในพระวรสารที่ยอแซฟตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าในการปกป้องพระกุมารเยซูและแม่พระให้ปลอดภัย ยอแซฟจึงได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ชอบธรรม” ที่มีความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว ที่ใช้ความสามารถทุกอย่างเพื่อครอบครัว ขณะที่แม่พระเป็นคู่ชีวิตที่รับผิดชอบดูแลครอบครัว และมีส่วนในความยากลำบากต่างๆ ในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างเงียบๆ

ในพระวรสารของนักบุญมัทธิว ได้แสดงภาพของความเป็นหนึ่งเดียวของครอบครัวนี้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวที่ลึกซึ้งของพระตรีเอกภาพ อันเป็นความสัมพันธ์แห่งความรักที่สมบูรณ์ ที่แสดงออกให้เห็นในชีวิตของพระเยซูเจ้า แม่พระ และนักบุญยอแซฟ นั่นคือ พระเยซูเจ้า องค์สันติราชาได้ทรงส่องสว่างและทำให้ชีวิตของท่านทั้งสองมีชีวิตชีวา เป็นครอบครัวที่มีสันติสุข กลมเกลียว และร่าเริงยินดี

2. บทเรียนสำหรับเรา

การแต่งงานและสถาบันครอบครัวเป็นสถานบันที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากมีจุดเริ่มต้นที่พระเจ้า เป็นพันธสัญญาผูกมัดระหว่างสามีภรรยาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเรียกร้องความรักและความซื่อสัตย์ต่อกัน ประการสำคัญ การแต่งงานเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้น แต่ปัจจุบันสถาบันครอบครัวกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลายครอบครัวกำลังล่มสลาย อันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจกัน ความไม่รับผิดชอบ ความเห็นแก่ตัว และความไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน อัตราการหย่าร้างในสังคมปัจจุบันจึงสูงมาก พ่อไปทาง แม่ไปทาง ทิ้งลูกให้เผชิญชะตากรรมโดยลำพังและเป็นปัญหาของสังคม

ชีวิตครอบครัวของพระเยซูเจ้า แม่พระ และนักบุญยอแซฟ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เผชิญมรสุมหนักแสนสาหัส แต่อะไรที่ทำให้ครอบครัวนี้ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ดำรงความเป็นครอบครัวและสามารถฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ มาได้ นั่นเพราะครอบครัวนี้มีพระเยซูเจ้าประทับอยู่ท่ามกลาง ความสำเร็จของครอบครัวจึงไม่เพียงขึ้นอยู่กับความรักของสมาชิกที่มีต่อกันเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วย ครอบครัวคริสตชนจึงไม่ได้มีเพียง “พ่อ-แม่-ลูก” แต่จะต้องมีพระเยซูเจ้าประทับอยู่ท่ามกลาง

เหนือสิ่งอื่นใด เราอยู่ในพระศาสนจักร ครอบครัวใหญ่ของประชากรพระเจ้า ซึ่งเป็นที่รวมของผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูเจ้าและข่าวดีของพระองค์ พระศาสนจักรจึงเป็นพระกายทิพย์ที่มองเห็นได้ของพระเยซูเจ้า เราคริสตชนแต่ละคนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพระกายทิพย์นี้ จะต้องสานต่อพันธกิจของพระองค์ ในครอบครัวของเรา ซึ่งเป็นพระศาสนจักรระดับบ้าน (Domestic Church) โดยยึดพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางและติดตามพระองค์ทั้งในคำพูดและกิจการ ครอบครัวของเราจะต้องสะท้อนจิตตารมณ์ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า

บทสรุป

พี่น้องที่รัก การฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ควรเป็นโอกาสให้เราได้พิจารณาไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของเรา การอยู่ร่วมกันระหว่างพ่อ-แม่-ลูกเป็นไปตามรูปแบบของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเพียงใด เราจะต้องมีความรักต่อกันตามแบบอย่างของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะคนที่เป็นสามีภรรยาจะต้องรักและซื่อสัตย์ต่อกันต่อกันจนวันตาย ตามคำสัญญาที่เราได้ให้ไว้ (ในวันแต่งงาน) “ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อแม่สามารถให้แก่ลูกได้คือความรักที่พวกเขามีต่อกัน” (Anon)

คนที่เป็นสามีภรรยาต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รับผิดชอบต่อครอบครัวและทำหน้าที่ของตนอย่างดี คนที่เป็นลูกเช่นเดียวกัน ต้องเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจและกตัญญูดูแลท่านยามแก่เฒ่า ให้เราได้ภาวนาเพื่อความสำเร็จของครอบครัว ความผาสุกของสังคม ประเทศชาติ และพระศาสนจักร ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อใดก็ตามที่ชีวิตครอบครัวล้มเหลว สังคม ประเทศชาติ และพระศาสนจักรย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
25 ธันวาคม 2010

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระทรงบังเกิด โลกจงยินดี

วันที่ 25 ธันวาคม สมโภชพระคริสตสมภพ (มิสซากลางวัน)
อสย 52:7-10
ฮบ 1:1-6
ยน 1:1-8

บทนำ

ก่อนวันคริสต์มาส ช่างทำรองเท้าคนหนึ่งได้ภาวนาและได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ในวันคริสต์มาสองค์พระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมท่านที่ร้าน” ช่างทำรองเท้ามีความยินดีมาก เขาเริ่มปัดกวาด ทำความสะอาดร้านเล็กๆ ของเขาโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อวันคริสต์มาสมาถึงเขาได้เตรียมอาหารกลางวันเผื่อองค์พระเจ้าที่จะเสด็จมาเยี่ยมด้วย วันนั้นจึงเป็นวันแห่งความยินดี เขาใส่เสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดที่เขามีอยู่

ทันใดนั้นผู้หญิงที่ชื่อเสียงไม่ดีคนหนึ่งได้เข้ามาในร้านของช่างทำรองเท้า เขาได้ต้อนรับหญิงคนนั้นอย่างดี พูดจากับเธออย่างสุภาพจนกระทั่งเธอจากไป ทิ้งให้เขาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง ทำให้เขาจินตนาการเกี่ยวกับองค์พระเจ้าและถามตนเองว่า “พระเยซูเจ้ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ” ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เขาต้องสะดุ้งเมื่อมีคนเรียกชื่อเขา เป็นเสียงหญิงยากจนคนหนึ่งกับบุตรชายที่ดูท่าทางหิวโซ เขาต้อนรับสองแม่ลูกอย่างดี หาอาหารให้กินจนอิ่ม และให้รองเท้าคู่ใหม่เป็นของขวัญคริสต์มาส ถึงตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจว่าองค์พระเจ้าจะเสด็จมาบ้านเขาวันนี้หรือไม่

ยังคงมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาที่ร้านของเขา ที่สุด ขี้เมาคนหนึ่งโผล่มาและตระโกนขอเหล้าดื่ม เขาเชื้อเชิญขี้เมาคนนั้นให้เข้าบ้าน พร้อมกับบอกว่า เขาไม่มีเหล้า แต่เชิญนั่งสักพักเพื่อดื่มน้ำเย็นและกินอาหารด้วยกัน ซึ่งเขาได้เตรียมไว้สำหรับแขกพิเศษวันนี้ เขารู้สึกยินดีที่ได้ต้อนรับทุกคน แต่รู้สึกผิดหวังที่องค์พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาตามที่ทรงสัญญาไว้ จนกระทั่งถึงเวลาภาวนาค่ำก่อนนอน เขาจึงถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จมาวันนี้ ลูกคอยพระองค์ตลอดทั้งวัน” สักพักเขาได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “แน่ทีเดียว เราได้มาที่ร้านของท่านวันนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่หลายครั้งตลอดทั้งวัน” คืนนั้น ช่างทำรองเท้าไปนอนด้วยความยินดีและเป็นสุข เพราะเขาได้เห็นและต้อนรับองค์พระเจ้า

1. ความชื่นชมยินดีของโลก

วันคริสต์มาสเป็นวันพิเศษที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์และเราแต่ละคน เป็นวันที่เราเฉลิมฉลองการบังเกิดของพระกุมารเยซู ซึ่งเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ที่เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์เกิดในสภาพที่ยากจนเข็ญใจ เพื่อแสดงถึงความนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระประสงค์ของพระเจ้า ในการสร้างอาณาจักรของพระเจ้าในโลก ข่าวดีแห่งการบังเกิดของพระกุมารเยซูจึงเป็นความชื่นชมยินดีของโลกทั้งมวล

พระเยซูเจ้าทรงเลือกที่จะเสด็จมาหาเราในสภาพที่ขัดสนเพื่อสอนเราว่า พระองค์ทรงรักเราโดยไม่มีเงื่อนไข และต้องการที่จะแบ่งปันชีวิตของพระองค์กับเรา ทรงเป็นเหมือนเราทุกอย่างเว้นแต่บาป คริสต์มาสจึงเป็นวันฉลองแห่งความยินดี ความหวัง และสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ที่บอกทุกคนให้ทราบว่า พระผู้ไถ่โลกได้บังเกิดแล้ว

ดังนั้น ในวันนี้เราจึงทักทายกันด้วยคำอวยพรให้มีความสุข มีการแลกเปลี่ยนของขวัญและส่งบัตรอวยพร เป็นช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันความสุขซึ่งกันและกัน อันเป็นความสุขแห่งความรักที่พระเจ้าได้แสดงให้เราเห็น ด้วยการส่งพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ให้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับท่ามกลางเรา นี่คือ การแสดงความรักขั้นสูงสุดของพระเจ้าสำหรับเรา ทำให้โลกของเรามีความชื่นชมยินดี ความหวัง และสันติสุขอย่างเต็มเปี่ยม

2. ความยินดีสำหรับเรา

คริสต์มาสจึงเป็นวันที่เราตระหนักถึงความยินดีที่เปลี่ยนแปลงโลก เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีที่เกิดจากการแบ่งปันความรักและการให้อภัย การบังเกิดของพระเยซูเจ้าเตือนใจเราว่า พระเจ้าไม่เคยลืมเรา พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา แต่ได้ทรงเสด็จมาเพื่อแบ่งปันข่าวดีแห่งความรัก ความหวัง และสันติสุข เราจะต้องเป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่กลับไปด้วยความรีบเร่งเพื่อแบ่งปันข่าวที่น่ายินดีที่พวกเขาได้ยิน

ในพระวรสารวันนี้ยอห์นได้บอกให้เราทราบว่า พระคริสต์เจ้าทรงเป็นแสงสว่างที่ส่องในความมืดและขจัดความขุ่นมัวให้หมดสิ้นไปจากใจเรา วันนี้เราจึงมาวอนขอพระองค์ได้เติมเต็มหัวใจของเราด้วยความรัก ความหวัง และสันติสุขในแบบเดียวกัน เพื่อเราจะเป็นพยานถึงพระองค์ในโลก ให้เรามองดูแม่พระที่เก็บทุกสิ่งไว้ในใจและไตร่ตรองออกมาในภาคปฏิบัติ ในความใส่ใจต่อความต้องการของผู้อื่น

ให้เราได้เดินในแสงสว่างของพระคริสต์เจ้า ด้วยการแบ่งปันความรักกับผู้อื่น ทำให้ความรักของพระเจ้าปรากฏเป็นจริงในชีวิตประจำวันของเรา เราสามารถสร้างความหวังในจิตใจของคนที่กำลังโดดเดี่ยวและสิ้นหวังได้ ผ่านทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมของเรา ในการแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น เป็นต้นคนที่ยากจนและต้องการความช่วยเหลือ เพื่อมอบเป็นความสุขและความยินดีสำหรับพวกเขาในโอกาสคริสต์มาส

บทสรุป

พี่น้องที่รัก การฉลองคริสต์มาสทุกปี เตือนใจเราถึงเหตุการณ์ที่พระคริสต์เจ้าทรงรับเอากาย ซึ่งจะต้องไม่ใช่การฉลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อสองพันปีก่อนและผ่านไป แต่พระเจ้าจะต้องรับเอากาย สามารถมองเห็นได้ และสามารถรับรู้ถึงการประทับอยู่ของพระองค์ในตัวเราในทุกขณะของชีวิต ประการสำคัญ “แม้พระคริสต์เจ้าจะบังเกิดที่เบธเลเฮมเป็นพันครั้ง แต่จะไม่มีประโยชน์อะไรหากพระองค์ไม่ได้บังเกิดในใจของเรา” (Angelus Silesius)

ในโลกปัจจุบันมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่มีที่พักอาศัยเหมือนพระกุมารเยซู พวกเขากำลังทุกข์ระทม สิ้นหวัง และถูกตัดขาดจากสังคม แต่โลกของเรามีที่สำหรับทุกคนเสมอ หากเราแต่ละคนเรียนรู้ที่จะให้และแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น เราคริสตชนจึงไม่เพียงประดับไฟบนต้นคริสต์มาสหรือในบ้านของเราเท่านั้น แต่เราจะต้องเป็นไฟที่ส่องสว่าง และเป็นแสงแห่งความหวังสำหรับทุกคน

เหนือสิ่งอื่นใด คริสต์มาสหมายถึงจิตตารมย์แห่งความรัก เป็นเวลาที่ความรักของพระเจ้าและความรักเรามนุษย์ จะขจัดความเกลียดชังและความแตกแยกให้หมดสิ้นไป อีกทั้ง เป็นเวลาที่ความคิด กิจการ และชีวิตของเราประกาศถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า “สันติสุขในโลกจะบังเกิดขึ้น เมื่อเราดำเนินชีวิตคริสต์มาสทุกวัน” (Helen Steiner Rice)

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
23 ธันวาคม 2010

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส


ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส
วันที่ 24 ธันวาคม
สมโภชพระคริสตสมภพ
(มิสซากลางคืน)
อสย 9:2-7
ทต 2:11-14
ลก 2:1-14
บทนำ
ความกดอากาศต่ำและสายลมที่พัดผ่านทำให้ความหนาวแผ่ปกคลุมทุกพื้นที่  เป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่บอกให้ทราบว่าคริสต์มาสมาถึงแล้ว แสดงให้เห็นถึงพระยุติธรรมของพระเจ้าที่โปรดให้ทุกคนได้สัมผัสกับความหนาวเย็นกันทั่วหน้า  จะต่างก็ตรงที่ว่า คนฐานะดีมีที่กำบังกายและเครื่องอำนวยความสะดวกช่วยให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น ในขณะที่คนขัดสนไม่มีสิ่งเหล่านี้  ต้องอาศัยไออุ่นจากกองไฟเป็นเครื่องบรรเทาความหนาวเย็นในยามค่ำคืน
ในคืนอันหนาวเหน็บของวันคริสต์มาสนี้เอง พระเยซูเจ้า บุตรพระเจ้าผู้ไถ่โลกได้บังเกิดเป็นมนุษย์ การบังเกิดมาของพระองค์คือ เครื่องหมายแห่งความรักและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ทรงประทานพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ให้มารับสภาพมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา กุมารนี้ทรงเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าเหนือของขวัญล้ำค่าใดๆ ในโลก เพราะกุมารนี้คือองค์แห่งความรัก ความหวัง และสันติสุขที่แท้จริงสำหรับโลกและมนุษยชาติ
เรื่องราวการประสูติของพระกุมารเยซูที่เราได้ยินในพระวรสารโดยนักบุญลูกา (ลก 2:1-14) เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ได้ออกกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วอาณาจักรโรมัน จากบันทึกบนกระดาษปาไปรัส (Papyrus) ที่ค้นพบในอียิปต์ คือหลักฐานที่บอกให้ทราบว่ากรุงโรมจัดสำรวจสำมะโนประชากรบ่อยครั้ง (ทุก 14 ปี) ทั้งนี้ด้วยเหตุผลเพื่อประเมินรายได้จากการจัดเก็บภาษีและการเกณฑ์ทหาร ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องไปลงทะเบียนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน
1.  ไม่มีห้องว่างสำหรับท่าน
ด้วยเหตุนี้ ยอแซฟซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิดต้องพาพระนางมารีย์ที่ครรภ์แก่ เดินทางจากนาซาเร็ธแค้วนกาลิลีไปยังเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย บ้านเกิดของกษัตริย์ดาวิด ระยะทางจากนาซาเร็ธถึงเบธเลเฮมประมาณ 130 กิโลเมตร  การเดินทางสมัยนั้นถือว่าไกลมากสำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้น เมืองเบธเลเฮมยังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาลงทะเบียน จนกระทั่งไม่มีห้องว่างสำหรับยอเซฟและพระนางมารีย์ผู้กำลังจะคลอดบุตร
ไม่ว่าจะไปที่ไหนคำตอบที่ได้รับคือ “ไม่มีห้องว่างสำหรับท่าน” ยอแซฟต้องพาพระนางมารีย์ไปที่ถ้ำเลี้ยงสัตว์ เชื่อกันว่าอาจเป็นที่พักสำหรับคนเดินทางมีลักษณะคล้ายเพิงเลี้ยงสัตว์ซึ่งผู้พักแรมต้องนำอาหารติดตัวมาเอง  เจ้าของจะจัดเตรียมเพียงฟางหรือหญ้าแห้งสำหรับสัตว์เลี้ยงและไฟสำหรับปรุงอาหารไว้ให้เท่านั้น ยอแซฟกับพระนางมารีย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถ้ำเลี้ยงสัตว์หรือเพิงพักชั่วคราวสำหรับผู้เดินทางที่เมืองเบธเลเฮม
นี่คือสถานที่ซึ่งพระเยซูเจ้า บุตรพระเจ้าผู้ไถ่โลกทรงประสูติ พระองค์เลือกที่จะเกิดบนรางหญ้าในสภาพที่ยากจนขัดสน เพื่อสอนให้โลกรู้ว่า ความยากจนขัดสนไม่ใช่อุปสรรคสำหรับความรักของพระเจ้า ตรงข้ามความยากจนขัดสนและใจสุภาพถ่อมตนต่างหาก คือหนทางหรือโอกาสที่ทำให้เราได้พบกับพระกุมารเจ้า ผู้ร่ำรวยด้วยพระพรนานัปการ ทรงเป็นเพื่อนกับคนยากจนและร่วมทุกข์ในความยากลำบากของพวกเขา  กระทั่งมอบชีวิตของพระองค์บนกางเขนเพื่อช่วยพวกเขาให้พบหนทางแห่งสันติสุขและความรอด
อีกทั้ง บุคคลกลุ่มแรกที่พระเจ้าทรงเผยให้ทราบข่าวดีเรื่องการประสูติมาของพระผู้ไถ่และได้พบกับพระกุมารคือบรรดาคนเลี้ยงแกะ ซึ่งถือเป็นผู้ที่ ต่ำต้อยและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม จากสังคมโดยเฉพาะคนเคร่งศาสนาอย่างบรรดาคัมภีราจารย์และชาวฟาริสี ทั้งนี้เพราะอาชีพเลี้ยงแกะที่ต้องร่อนเร่พเนจร ทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของชาวยิวได้สะดวกนัก แต่การเป็นคนยากจนและต่ำต้อยทำให้พวกเขาได้พบกับพระกุมารเจ้า นี่คือความสุขและความยินดียิ่งใหญ่ในชีวิต
2.  ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส
การบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า จึงเป็นเครื่องหมายแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเรามนุษย์ แม้เราจะยากจนขัดสนหรือต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับพระเจ้าแล้วไม่ใช่ ความรักของพระองค์สูงส่งไร้ขอบเขตและไม่มีเงื่อนไข พระองค์ได้มอบและให้พระเยซูเจ้าเป็นของขวัญที่ประเสริฐที่สุดสำหรับโลกและมนุษยชาติในสภาพที่ต่ำต้อยกว่าเราหลายเท่านัก
ดังนั้น เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นช่วงเวลาแห่งพระพรที่ช่วยให้เราได้ไตร่ตรองและตระหนักถึงความรักของพระเจ้า ด้วยการเปิดดวงใจของเราและประดับตกแต่งถ้ำแห่งดวงใจนี้ด้วยไฟแห่งความรักเพื่อให้องค์พระเจ้าได้บังเกิด และเป็น “อิมมานูแอล” พระเจ้าอยู่กับเราทุกจังหวะชีวิต นอกนั้นยังเป็นโอกาสที่เราจะถ่อมใจลงเลียนแบบอย่างจากพระองค์ในความยากจน และดำเนินชีวิตเป็นของขวัญและความยินดีสำหรับผู้อื่นอย่างแท้จริง
ชีวิตของเราจะเป็นของขวัญและความยินดีเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อ เราดำรงตนในความรักและความมีใจกว้างที่พร้อมจะให้เช่นเดียวกับพระเจ้า ดังคำกล่าวของ เดล อีเวนส์ (Dale Evans) นักเขียน นักร้องและนักแสดงที่ว่า “ทุกครั้งที่เรารัก ทุกครั้งที่เราให้นั่นคือคริสต์มาส” (Every time we love, every time we give, it’s Christmas) ความรักและการให้จึงเป็นจิตตารมณ์ที่สำคัญของคริสต์มาส เป็นโอกาสที่ความรักของพระเจ้าและความรักของมนุษย์จะขจัดความเกลียดชังและความยากจนให้หมดสิ้นไป
บทสรุป
พี่น้องที่รัก เทศกาลคริสต์มาส เป็นช่วงเวลาของการเสียสละแบ่งปันสิ่งที่เรามีแก่ผู้อื่น นักบุญฟรังซิส อัสซีซี กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าในตู้เสื้อผ้าของท่าน มีเสื้อผ้าที่ท่านไม่ใช้แล้ว พึงรู้ไว้ด้วยว่านั่นเป็นของคนยากจนที่ไม่มีแม้เสื้อผ้าจะใส่ ถ้าในตู้กับข้าวของท่าน มีกับข้าวที่ท่านไม่ทานแล้ว พึงรู้ไว้ด้วยว่านั่นเป็นส่วนของคนที่กำลังอดอยาก หากเราไม่มีของขวัญอะไรจะให้ก็จงให้ความรักนั้นออกไป “ความรักคือความเชื่อในภาคปฏิบัติ” ตามคำสอนของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา และความรักในภาคปฏิบัติคือการรับใช้หรือการให้
โลกเราทุกวันนี้มีคนที่ขาดความรัก อดอยาก และขาดแคลนมากมายที่รอคอยความรัก ของขวัญ และความช่วยเหลือจากเรา  พวกเขาเหล่านี้อาจอยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานของเรา  บางครั้งสิ่งของเครื่องใช้ที่เราไม่ใช้แล้วหรือไม่จำเป็นสำหรับเรา  อาจเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่และมีค่ายิ่งสำหรับพวกเขา คริสต์มาสปีนี้อย่าลืมให้ความรักและแบ่งปันสิ่งที่เรามีมอบเป็นความสุขสำหรับผู้ยากไร้และด้อยโอกาสทั้งหลาย  เพื่อว่า การบังเกิดมาของพระกุมารเยซูจะเป็นความชื่นชมยินดีสำหรับครอบครัวของเรา หมู่คณะและมนุษยชาติ
อย่าทำตัวเย็นชาเฉยเมยอย่างชาวเมืองเบธเลเฮมที่บอกยอแซฟว่า “ไม่มีห้องว่างสำหรับท่าน” แต่เปิดดวงใจของเราด้วยความรักและการเสียสละแบ่งปัน ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส เช่นนี้เอง ความสุข ความยินดีและสันติภาพจะเกิดขึ้นในโลก และการฉลองคริสต์มาสในปีนี้จะมีคุณค่าและความหมายมากกว่าปีที่ผ่านมา “สุขสันต์วันคริสต์มาส”, Merry Christmas!, Buon Natale!
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย
สมโภชพระคริสตสมภพ; 24 ธันวาคม 2009

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สารวัดนาบัว, ปีที่ 1 ฉบับที่ 32

สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
ปีที่ 1 ฉบับที่ 32, อาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553): http.//dondaniele.blogspot.com
บ้านนาบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231
พลมารีคูเรียแม่พระเสด็จเยี่ยม นาบัว ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่สำหรับการประชุมพลมารีเขตตะวันตก
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

เรากำลังใกล้วันพระคริสตสมภพเข้ามาทุกขณะ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกร้องเวลาและความสนใจของเรา สิ่งนี้ควรจะเป็นจิตตารมย์คริสต์มาส วันสมโภชคริสต์มาสยิ่งใกล้มาถึงเดียงใด ขอให้เรามีจิตใจเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้นเพียงนั้น เพื่อเราจะได้เตรียมฉลองการบังเกิดมาของพระกุมารเจ้าด้วยความสำนึกและรู้คุณค่า

ให้เราได้เงียบสักครู่หนึ่งเพื่อเตรียมห้องในจิตใจของเรา เพื่อว่าพระคริสตเจ้าจะได้เสด็จมาหาเราระหว่างพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณนี้ เพื่อพระองค์จะได้ส่องสว่างและขจัดความมืดแห่งบาปให้ออกไปจากใจเรา และนำมาซึ่งสันติสุขและความชื่นชมยินดี ที่เราสามารถนำไปแบ่งปันกับผู้อื่นได้
ซุ้มประตูโรมันตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ขณะกำลังก่อสร้าง (18 ธ.ค. 2010

บทอ่านที่ 1: หนังสือประกาศกอิสยาห์ 7:10-14

ประกาสกอิสยาห์ได้ทำนายล่วงหน้าก่อน 700 ปี ว่าพระเจ้าจะประทานเครื่องหมายแก่ประชากรของพระองค์ นั่นคือ “หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และบังเกิดบุตรชายคนหนึ่ง และเธอจะขนานนามว่า “อิมมานูเอล” ซึ่งคำทำนายนี้ปรากฏเป็นจริงในพันธสัญญาใหม่ด้วยการบังเกิดของพระคริสตเจ้า ผู้เป็น “อิมมานูเอล” พระเจ้าสถิตกับเรา

บทอ่านที่ 2: จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 1:1-7

นักบุญเปาโลได้สรุปข่าวดีให้คริสตชนในระยะเริ่มแรกได้ทราบว่า พระคริสตเจ้าสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ทรงเป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าของผู้เป็นและผู้ตาย ทรงรับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า นักบุญเปาโลได้ประกาศให้โลกทราบว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ทำให้คำทำนายของบรรดาประกาศปรากฏเป็นจริง
การก่อสร้างกำแพงด้านหลังวัดไม้ เพื่อให้เสร็จทันฉลองวัด 22 มกราคม 2011

พระวรสาร: นักบุญมัทธิว 1:18-24

ในพระวรสารวันนี้ นักบุญยอแซฟ ผู้ชอบธรรม ได้รับแจ้งจากทูตสวรรค์ในความฝันว่า แม่พระตั้งครรภ์ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า และบุตรที่จะเกิดมาจะนำความรอดพ้นจากบาปมาสู่ประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกยอแซฟให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ ในการเป็นผู้นำครอบครัวและทำให้พระกุมารเจ้าที่บังเกิดมา สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด
การขุดดินทำผนังคอนกรีตกั้นดิน ทำรางระบายน้ำ และปรับพื้นวัดเก่าทั้งหมด

 ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1) ขอบคุณพี่น้องกลุ่มคริสตชนพื้นฐาน กลุ่มที่ 11 ที่ช่วยกันทำความสะอาดวัด กลุ่มที่รับผิดชอบอาทิตย์ต่อไปคือ กลุ่มที่ 12

2) วันที่ 24 ธันวาคมนี้ซึ่งเป็นวันแห่ดาว ขอให้แต่ละกลุ่มนำดาวมารวมที่วัด เราจะเริ่มแห่ดาวรอบหมู่บ้านในเวลา 16.30 น. และร่วมมิสซาสมโภชคริสตสมภพ (คืนคริสต์มาส) ในเวลา 19.00 น.

3) ขอบคุณเจ้ยุ้ย ที่ซื้อต้นคริสต์มาสบริจาคให้กับวัดของเรา ทำให้เรามีต้นคริสต์มาสประดับวัดอย่างสวยงามในปีนี้

4) ขอบคุณยายขีน เมาบุดดา ที่บริจาคไม้จำนวนสองต้นใหญ่ให้กับวัดของเรา เพื่อนำไปทำเสาโชว์ตรงหน้ามุกของวัดไม้ของเรา

5) ขอบคุณเด็กหญิงธนันญา ตูมกา (น้องฟิล์ม) ที่บริจาคเงินสมทบกองทุนบูรณะวัดไม้ของเรา จำนวน 1,000.- บาท

6) ทางวัดได้เปิดซองประมูลการก่อสร้างตามโครงการของวัด และได้ตกลงว่าจ้าง (1) ช่างสกล วินบาเพชร เป็นผู้รับเหมาค่าแรงซ่อมวัดไม้ทั้งหมด รวมทั้งมุกด้านหน้า ในวงเงิน 58,000.- บาท, (2) ช่างเปี้ยก อัครเรศ กิณเรศ เป็นผู้รับเหมาทำกำแพงด้านหลังวัดไม้ ในราคาช่องละ 3,714.- บาท, (3) ช่างอู๊ด เป็นผู้รับเหมาขุดดินและปรับพื้นรอบวัดในราคา 10,000.- บาท, ทำทางระบายน้ำในราคาเมตรละ 800.- บาท, ผนังคอนกรีตปูกระเบี้องและเทพื้นคอนกรีต ในราคาเมตรละ 1,200.- บาท

7) เงินทานวันเสาร์ ได้ 1,014.- บาท, วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม ได้ 1,673.- บาท; เงินทานวัดพระนามเยซู โพนสวาง ได้ 252.- บาท
การทำผนังคอนกรีตจะทำรอบตัววัด พร้อมปูกระเบื้องกันน้ำซึมเข้าและเป็นที่นั่งเล่นได้ด้วย

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มาร์การิตาสัมมา บุญโต ถึงแก่กรรม

แม่ตุ๊ มารดาของซิสเตอร์วิไลวรรณ บุญโต ถึงแก่กรรม

มาร์การิตา สัมมา บุญโต

ดอนม่วย  มาร์การิตา สัมมา บุญโต หรือ “แม่ตุ๊” มารดาของซิสเตอร์วิไลวรรณ บุญโต ซิสเตอร์คามิลเลียน ได้ถึงแก่กรรมแล้ว เมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา คุณพ่อเอกมัย เหลือหลาย น้องชายในคณะภราดาน้อยกาปูชินเป็นประธานมิสซาหน้าศพคืนแรก และคุณพ่อบัญชา ไชยรา เจ้าอาวาสเป็นประธานในคืนที่สอง ส่วนพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณปลงศพ มีขึ้นในวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ณ วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย มีพระสงฆ์ นักบวช และพี่น้องสัตบุรุษมาร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
มิสซาหน้าศพที่บ้านคืนที่สอง โดยคุณพ่อบัญชา ไชยรา (กลาง) เจ้าอาวาสวัดดอนม่วย

มาร์การิตา สัมมา บุญโต เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1949 ที่บ้านดอนม่วย ตำบลช้างมิ่ง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรสาวคนโตของคุณพ่ออัลฟอนโซ สีเมือง กับคุณแม่เทเรซา สมศรี เหลือหลาย มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 8 คน ดังนี้

1) มาร์การิตา สัมมา บุญโต ผู้วายชนม์
2) ฟรังซิสโก นาวา เหลือหลาย รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านนาถ่อน
3) มาแชล ปัชชา เหลือหลาย เหรัญญิกวัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย
4) ซิสเตอร์อันนุนซีอาตา จุฬาลัย เหลือหลาย อธิการิณีคณะกลาริส กาปูชิน อุดรธานี
5) ซิสเตอร์กาทารีนา จินดา เหลือหลาย ภคินีคณะคามิลเลียน
6) ยากอบ สุขชัย เหลือหลาย ประกอบอาชีพค้าขาย
7) คุณพ่ออิกญาซีโอ เอกมัย เหลือหลาย พระสงฆ์คณะภราดาน้อยกาปูชิน
8) เยราร์ด ไพรวัลย์ เหลือหลาย ผู้ช่วยผู้จัดการบ้านเอื้ออาธร ชลบุรี
มิสซาปลงศพ มาร์การิตา สัมมา บุญโต เสาร์ที่ 18 ธันวาคม 2010

ประวัติการศึกษา

มาร์การิตา สัมมา บุญโต สำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่สี่ ที่โรงเรียนบ้านดอนม่วย

ประวัติครอบครัว

มาร์การิตา สัมมนา บุญโต แต่งงานกับเปโตร บูรณ์ บุญโต ในปี ค.ศ. 1971 มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 3 คน ดังนี้

1) ซิสเตอร์อักแนส วิไลวรรณ บุญโต ภคินีคณะคามิลเลียน
2) เปโตร อัศวิน บุญโต ผู้จัดการฝ่ายบริการหลังการขาย บริษัทโตโยต้า ศรีษะเกษ สาขาขุขันธ์
3) ลูกา ปิยะ บุญโต ประกอบธุรกิจส่วนตัว
คุณพ่อเอกมัย เหลือหลาย คณะภราดาน้อย กาปูชิน น้องชายของมาร์การิตา สัมมา

ชีวิตวัยเด็กของมาร์การิตา สัมมา บุญโต เป็นเด็กที่มีนิสัยสุภาพเรียบร้อย ใช้ง่าย แคล่วคล่องว่องไว เป็นที่รักของเพื่อนๆ ชอบดูแลช่วยเหลือน้องๆ มีความศรัทธาและคอยตักเตือนน้องๆ ให้ไปวัดเรียนคำสอนเสมอ เนื่องจากเป็นบุตรคนโต ต้องรับผิดชอบและทำงานช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่มาโดยตลอด เคยเป็นผู้ดูแลเด็กที่โรงเรียนเซนต์แมรี ดอนม่วย สมัยคุณพ่อไอศวรรค์ จันทร์ลือชัย เคยเป็นครูคำสอนสมัยคุณพ่อเสนีย์ สกนธวัฒน์ หลังแต่งงานกับเปโตร บูรณ์ บุญโต ได้ช่วยกันทำงานหาเงินกับบริษัทก่อสร้างในหลายจังหวัดทางภาคตะวันออก จนคุณแม่เทเรซา สมศรี เสียชีวิต จึงกลับมาดูแลคุณพ่อและน้องๆ และตั้งหลักปักฐานที่ดอนม่วยจนถึงปัจจุบัน
ซิสเตอร์วิไลวรรณ บุญโต (กลาง) ซิสเตอร์คามิลเลียน บุตรสาวคนโตของมาร์การิตา สัมมา

มาร์การิตา สัมมา บุญโต ประกอบอาชีพทำนาและค้าขายที่ตลาดอำเภอพรรณนานิคม เพื่อหาเงินส่งเสียลูกๆ และน้องๆ ให้ได้รับการศึกษาโดยเท่าเทียมกัน ส่งผลให้ลูกและน้องทุกคนประสบผลสำเร็จในชีวิตตามที่ปรากฏในปัจจุบัน ตลอดชีวิตเป็นคนที่มีความเมตตากรุณา ปรารถนาให้ทุกคนได้รับแต่สิ่งดีๆ มีความสุขกับการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน โดยเฉพาะกับพระสงฆ์ นักบวช วัดวาศาสนาและงานสังคมส่วนรวม ทำให้เป็นที่ชอบพอรักใคร่ของคนที่รู้จักทุกระดับชั้น
คุณพ่อเอกมัย เหลือหลาย (กลาง) ประธานในพิธีปลงศพ โดยมีคุณพ่อโจวันนี เป็นผู้เทศน์

มาร์การิตา สัมมา บุญโต ปกติจะมีสุขภาพแข็งแรงไม่มีประวัติการเจ็บป่วย มีเพียงการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ อาการป่วยหนักเริ่มเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 โดยได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง หมอวินิจฉัยว่าเป็น “มะเร็งในถุงน้ำดี” อาการไม่ดีขึ้นและเริ่มทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนวันที่ 15 ธันวาคม เวลา 06.15 น. ได้มอบคืนดวงวิญญาณแด่พระเจ้าด้วยอาการสงบ ท่ามกลางความอาลัยรักของน้องๆ ลูกหลาน รวมอายุได้ 61 ปี 7 เดือน 5 วัน
ซิสเตอร์จินดา เหลือหลาย (ขวาสุด) ซิสเตอร์คามิลเลียน น้องสาวคนหนึ่งของมาร์การิตา สัมมา

อนึ่ง มาร์การิตา สัมมา บุญโต มีน้องสาว 2 คน เป็นซิสเตอร์ในคณะกลาริสกาปูชินและคามิลเลียน มีน้องชาย 1 คนเป็นพระสงฆ์ คือคุณพ่อเอกมัย เหลือหลาย (แต่คุณพ่อเอกมัยจะเรียกพี่คนนี้ว่า “แม่” เพราะได้รับการเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก), มีลูกสาว 1 คนเป็นซิสเตอร์ คือซิสเตอร์วิไลวรรณ คณะคามิลเลียน และมีหลานชาย 1 คนเป็นสามเณรใหญ่แสงธรรม ชั้นปีที่ 6 คือ บราเดอร์ทินกร เหลือหลาย ขอให้ดวงวิญญาณของ “แม่ตุ๊” ได้รับการพักผ่อนนิรันดรกับพระเจ้า และบรรดานักบุญในสวรรค์ด้วยเทอญ
มาร์การิตา สัมมา ได้รับการฝังไว้ที่สุสานวัดพระแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย
Don Daniele ภาพ/รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
18 ธันวาคม 2010

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อิมมานูแอล: พระเจ้าสถิตกับเรา

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี A
อสย 7:10-14
รม 1:1-7
มธ 1:18-24

บทนำ

อากาศหนาวเริ่มแผ่ปกคลุมหลายพื้นที่ ทำให้คิดถึงเรื่องเด็กชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 10 ขวบ ที่ไม่มีรองเท้าใส่ ยืนตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บหน้าร้านขายรองเท้า ตาจ้องมองไปที่รองเท้าที่ตู้โชว์ในร้าน มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาสังเกตเห็นจึงถามเด็กชายว่า “กำลังมองอะไรอยู่จ๊ะหนู” เด็กชายคนนั้นตอบว่า “ผมกำลังวอนขอรองเท้าคู่หนึ่งจากพระเจ้า”

หญิงคนนั้นได้จูงมือเด็กชายเข้าไปในร้าน และบอกเจ้าของร้านให้หาถุงเท้าสักครึ่งโหลมาให้ พร้อมกับขออ่างน้ำและผ้าเช็ดตัวสักผืน เจ้าของร้านจัดแจงสิ่งที่เธอต้องการให้ทันที จากนั้นเธอได้พาเด็กชายไปหลังร้าน คุกเข่าลงล้างเท้าและทำความสะอาดให้ เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าของร้านนำถุงเท้ามาให้ เธอได้ใส่ถุงเท้าให้และซื้อรองเท้าให้หนึ่งคู่

หญิงคนนั้นเอามือลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดูและพูดกับเขาว่า “หวังว่าตอนนี้หนูคงรู้สึกอุ่นขึ้นบ้างแล้วนะ” และเดินจากไป ขณะที่เธอกำลังจะเดินจากไป เด็กชายได้คว้ามือเธอไว้ จ้องมองเธอด้วยน้ำตานองหน้า และถามเธอว่า “คุณผู้หญิงเป็นพระเจ้าใช่ไหมครับ” หญิงนั้นตอบว่า “เปล่า.. แต่ฉันเป็นลูกของพระองค์เหมือนหนูนั่นแหละ” เด็กชายคนนั้นยิ้มและพูดว่า “ผมเข้าใจแล้ว.. คุณเป็นญาติของพระองค์”

เรามาถึงสัปดาห์สุดท้ายของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ช่วยให้เราได้ตระหนักว่า “อิมมานูแอล: พระเจ้าสถิตกับเรา” ซึ่งเป็นหัวใจของความเชื่อคริสตชน เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องรอคอยพระองค์อีกต่อไป การบังเกิดมาของพระเยซูเจ้าเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเราแล้ว เป็นต้นในเพื่อนพี่น้อง และในบุคคลต่างๆ ที่เราพบเห็น

1. อิมมานูแอล: พระเจ้าสถิตกับเรา

เรื่องราวชีวิตในวัยเยาว์ของพระเยซูเจ้าตามคำเล่าของนักบุญมัทธิว มีเนื้อหาที่แตกต่างจากฉบับอื่น มัทธิวไม่ได้เริ่มประวัติของพระเยซูเจ้าจากแม่พระ แต่เริ่มจากนักบุญยอแซฟ เพื่อแสดงให้ชาวยิวที่เป็นคริสตชนได้เข้าใจว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระแมสิยาห์ที่ชาวยิวรอคอย ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิดผ่านทางยอแซฟ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ทำให้คำสัญญาของพระเจ้าสำเร็จไป และทรงเป็น “อิมมานูแอล” ที่ทำให้คำทำนายของบรรดาประกาศกปรากฏเป็นจริง

มัทธิวไม่เพียงได้ประกาศว่าคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ได้เป็นจริงแล้วเท่านั้น แต่ยังได้อธิบายความหมายของคำว่า “อิมมานูแอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” นี่คือข่าวดีแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา ซึ่งมัทธิวเน้นเป็นพิเศษในพระวรสารของท่าน ดังนั้น พระวรสารของมัทธิวจึงจบลงด้วยพระดำรัสของพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนชีพที่ตรัสกับพระศาสนจักรที่เพิ่งเริ่มต้นว่า “เราจะอยู่กับพวกท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20)

วันพระคริสตสมภพกำลังใกล้เข้ามา การเฉลิมฉลองนี้เตือนเราว่าพระเจ้าทรงรับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับท่ามกลางเรา เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา พระเจ้าไม่เพียงประทับอยู่กับเราในสิ่งสร้าง ในพระวาจา แต่ในบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์คือองค์พระคริสตเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลที่ถูกทอดทิ้งและต้องการความช่วยเหลือ “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งของเรา ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40)

2. บทเรียนสำหรับเรา

เมื่อพระเจ้าสถิตกับเรา ดังนั้น ชีวิตของเราจะต้องเป็นชีวิตที่มีเป้าหมายและสะท้อนให้เห็นถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในท่าที ในความเอาใจใส่ และในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าและต่อผู้อื่น พระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์ความรักและความเมตตากรุณาที่ทรงรับเอากาย ทรงเป็นองค์ความดีบริบูรณ์และความนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระเจ้าจนถึงที่สุดคือไม้กางเขน

พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อเพื่อนำข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้ามาให้เรา พระองค์ทรงรักเราเหมือนพระบิดาทรงรักเรา พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เพื่อเราและประทับอยู่กับเรา นี่คือข่าวดีที่เราจะต้องแบ่งปันในเทศกาลคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง ให้เราได้ต้อนรับซึ่งกันและกันเหมือนพระเจ้าทรงต้อนรับเรา ให้เราทำให้คนอื่นมีความสุขเหมือนพระเจ้าที่ทรงทำให้เรามีความสุข ให้เราได้รักซึ่งกันเหมือนพระเจ้าที่ทรงรักเรา

ครั้งหนึ่งนักบุญฟรังซิส อัสซีซี เห็นภราดาคนหนึ่งในคณะปฏิบัติต่อคนจนอย่างหยาบคาย ท่านนักบุญได้ลงโทษภราดาคนนั้นและกล่าวสอนว่า “เมื่อใดที่ท่านเห็นคนจนเป็นพี่น้อง ท่านจะได้เห็นภาพขององค์พระเจ้าและแม่พระในตัวเขา” ดังนั้น เวลาใดก็ตามที่เรามองเห็น “อิมมานูแอล” ในเพื่อนพี่น้อง เท่ากับว่าเราเข้าใจถึงการบังเกิดของพระเจ้าในหนทางที่ถูกต้อง ให้เราได้เจริญชีวิตด้วยการตระหนักในความจริงที่ว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” และนำความรักของพระเจ้าไปสู่เพื่อนพี่น้อง ทุกครั้งที่เรายื่นมือของเราช่วยเหลือคนจนและต้องการความช่วยเหลือ ก็เท่ากับว่าเราได้ทำให้พระเจ้าประทับอยู่อย่างแท้จริงในชีวิตของเรา

บทสรุป

พี่น้องที่รัก เทศกาลคริสต์มาสมาถึงแล้วก็ผ่านไป พระศาสนจักรได้ยืนยันเสมอมาว่า พระเจ้าสถิตกับเราในพระเยซูเจ้า และพระเยซูเจ้าจะประทับอยู่กับเราจนสิ้นพิภพ แต่บ่อยครั้งเราไม่ได้ตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา เราแต่ละคนเป็นเหมือนยากอบที่เบธเอล ซึ่งตื่นขึ้นมาและพูดว่า “พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่” (ปฐก 28:16)

พระเจ้าทรงแจ้งให้ยอแซฟทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามแผนการที่วางไว้ นักบุญยอแซฟแม้ไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด แต่นอบน้อมเชื่อฟังและทุ่มเทให้อย่างเต็มที่ ให้เราได้น้อมรับแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเราเช่นเดียวกันแม้ไม่เข้าใจ และทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที วันนี้เราถูกท้าทายให้ฟังและได้ยินเสียงของพระเจ้าที่เสด็จเข้ามาในชีวิตของเราในหลายหลายวิธี ผ่านทางบุคคลหลายรูปแบบ และในทุกย่างก้าวของชีวิต เพื่อเราจะได้สำนึกเสมอว่า “อิมมานูแอล: พระเจ้าสถิตกับเรา”
ถ้าพระกุมารขนาดใหญ่ ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม ประเทศอิตาลี (ค.ศ. 2008)
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
17 ธันวาคม 2010

สงฆ์เขตตะวันตกประชุมที่โนนค้อ

 พระสงฆ์เขตตะวันตก ประชุมที่วัดโนนค้อ

วัดพระเมตตาแห่งพระเยซูเจ้า โนนค้อ ม.8 ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

โนนค้อ  พระสงฆ์เขตตะวันตก โดยการนำของคุณพ่อพรทวี โสรินทร์ หัวหน้าเขต พบปะประชุมกันที่วัดพระเมตตาแห่งพระเยซูเจ้า โนนค้อ เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมีคุณพ่อบัญชา ไชยรา และพี่น้องสัตบุรุษชาวโนนค้อให้การต้อนรับ

การประชุมครั้งนี้เริ่มเวลา 11.00 น. นับเป็นการประชุมครั้งที่ 3 ที่บรรดาพระสงฆ์ที่ทำงานในเขตตะวันตกจำนวน 9 ท่าน ได้มาพบปะพูดคุยและปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการทำงานในเขตวัดที่ตนเองรับผิดชอบ ที่ประชุมได้มีมติที่จะจัดการอบรมพระคัมภีร์สำหรับผู้นำชุมชนคริสตชนพื้นฐานในเขตตะวันตกอีกครั้ง เพื่อต่อยอดการอบรมครั้งที่ผ่านมาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยกำหนดที่จะจัดที่วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย ในวันพุธที่ 26 มกราคม 2011

ในการประชุมครั้งนี้ คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์ ได้สรุปแนวคิดจากการสัมมนาพระสงฆ์แห่งเอเชีย เรื่อง “การปรับกระบวนทัศน์ในพันธกิจและศาสนบริการของพระสงฆ์ในทวีปเอเชีย” (Paradigm Shift in the Mission and Ministry of the Priest in Asia) ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 10-15 พฤษภาคมที่ผ่านมา

การสัมมนาได้เน้นถึงเอกลักษณ์ของพระสงฆ์ ซึ่งมาจากรากฐานคือภาพลักษณ์ของของพระเยซูเจ้า สงฆ์ผู้สูงสุดและต้นแบบของชีวิตสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ประกาศข่าวดีแห่งอาณาจักรพระเจ้า ในฐานะผู้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์และช่วยให้รอด และในฐานะนายชุมพาที่ดี ซึ่งรักและรับใช้ และมอบชีวิตเพื่อฝูงแกะ เราจะต้องตระหนักต่อสิ่งที่ท้าทายต่อกระแสเรียกของการเป็นพระสงฆ์และชีวิตของการเป็นศาสนบริการในรูปแบบต่างๆ ของโลกปัจจุบัน

ประการสำคัญ พระสงฆ์จะต้องพัฒนาบุคลิกภาพของตนในด้านต่างๆ เพื่อตนเองจะได้เป็นสะพานที่นำคนอื่นมาพบพระเยซูเจ้า มิใช่เป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้คนอื่นได้พบพระเยซูเจ้า ดังนั้น ชีวิตสงฆ์จึงเป็นการเรียกไม่ใช่งานอาชีพ เป็นชีวิตแห่งการรับใช้มิใช่ชีวิตที่เป็นนาย เป็นชีวิตที่อุทิศตนทั้งครบมิใช่การรับใช้แบบฉาบฉวย บนพื้นฐานของการภาวนาที่สม่ำเสมอและความเชื่อที่ลึกซึ้ง จะทำให้เราสามารถเจริญชีวิตสงฆ์ในสังคมปัจจุบันต่อไปได้ และที่ทำให้เรามั่นใจมากกว่านั้นคือ แม้ทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไป แต่คำสัญญาของพระเยซูเจ้าที่จะอยู่กับเราเสมอไปจนสิ้นพิภพจะไม่มีวันเปลี่ยน (เทียบ มธ 28:20)

ในโอกาสเดียวกันนี้ พระสงฆ์เขตตะวันตกได้อวยพรคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงแด่คุณพ่อพรทวี โสรินทร์ หัวหน้าเขต โดยมีคุณพ่อกรไกร พิลาจันทร์ เป็นตัวแทน คุณพ่อพรทวี โสรินทร์ ได้กล่าวขอบคุณและแสดงความยินดีกับคุณพ่อญาณารณพ มหัตกุลโอกาสวันคล้ายวันเกิด วันที่ 25 ธันวาคมที่จะถึง รวมถึงแสดงความยินดีกับสมาชิกทุกคนที่ฉลองศาสนนามในช่วงเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนของขวัญและรับประทานอาหารร่วมกัน

Don Daniele ภาพ/รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย
17 ธันวาคม 2010

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พลมารีเขตตะวันตกประชุมที่นาบัว

 พลมารีเขตตะวันตกกว่า 200 คน
 ประชุมใหญ่ประจำปีที่นาบัว


นาบัว  วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว เป็นเจ้าภาพประชุมคูเรีย โดยมีพลมารีจาก 5 คูเรียในเขตตะวันตก จิตตาธิการ และเจ้าหน้าที่คอมิเซียมจากท่าแร่ จำนวนกว่า 200 คนเข้าร่วมประชุมใหญ่ประจำปี เมื่อวันอังคารที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา คุณพ่อสุรวุฒิ สมงาม ประธานในพิธีมิสซาย้ำพลมารีต้องเลียนแบบอย่างของแม่พระ


การประชุมเริ่มด้วยการพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณในเวลา 9.00 น. โดยคุณพ่อสุรวุฒิ สมงาม จิตตาธิการคูเรียแม่พระมหาการุณ์ หนองบก เป็นประธานในพิธี (แทนคุณพ่อพรทวี โสรินทร์ หัวหน้าเขต) พร้อมกับคุณพ่อคัมภ์ศรณ์ กาแก้ว จิตตาธิการ คูเรียดอนทอย, คุณพ่อไพศาล ว่องไว จิตตาธิการ คูเรียนาจาน และคุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์ จิตตาธิการ คูเรียแม่พระเสด็จเยี่ยม นาบัว ในฐานะเจ้าภาพ


คุณพ่อสุรวุฒิ สมงาม ได้ให้ข้อคิดเตือนใจในบทเทศน์ ให้พลมารีแต่ละคนตระหนักในหน้าที่ของตนในการเป็นทหารของแม่พระ และเป็นผู้ร่วมงานคนสำคัญของพระศาสนจักรในวัดที่ตนเองสังกัดอยู่ พลมารีจะต้องเลียนแบบอย่างของแม่พระในการปฏิบัติตามแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการภาวนา ตักเตือน เยี่ยมเยียน และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เป็นต้น บรรดาคริสตชนที่ใจเย็นเฉย ให้เกิดร้อนรนในความรักของพระเจ้าและความเชื่อคริสตชน


ซ.ทศพร ดำรงไทย ประธานคอมิเซียมอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ได้กล่าวชมพลมารีคูเรียเขตตะวันตก ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความเข้มแข็งในการบริหารงาน เป็นความภูมิใจและตัวอย่างสำหรับพลมารีคูเรียเขตตะวันออกและเขตกลาง พร้อมกับกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่อาจเสนอเซนาตุส กรุงเทพฯ ให้ยกฐานะคูเรียเขตตะวันตกเป็นคอมิเซียมในอนาคตอันใกล้


หลังมิสซามีการถ่ายรูปร่วมกัน ต่อด้วยการสวดสายประคำ และการกล่าวรายงานของ บร.สมัย พิมพ์นาจ ผู้ประสานงานคูเรียเขตตะวันตก ถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานต่อคุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์ จากนั้นเป็นการมอบของรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ทั้ง 5 คูเรียและแลกเปลี่ยนของขวัญโอกาสคริสต์มาส สลับกับการแสดงของพลมารีแต่ละคูเรีย ก่อนจะมีการรับประทานอาหารร่วมกันที่แต่ละคูเรียนำมา สมทบกับอาหารที่วัดนาบัวจัดเตรียมไว้ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน






Don Daniele ภาพ/รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
14 ธันวาคม 2010