วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สารวันบัณฑิตน้อย



สารจากคุณพ่อผู้จัดการ

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1

การศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญของชีวิตมนุษย์ และถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองทั้งครบให้ถึงพร้อมทั้งความรู้และทักษะในการดำเนินชีวิต ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับมนุษย์ทุกคน ใครที่มีความรู้มากและมีทักษะยอดเยี่ยมในด้านต่างๆ ย่อมได้เปรียบและมีโอกาสมากกว่าคนอื่น
วันนี้นับเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีสำหรับบัณฑิตน้อย รุ่นที่ 9 ของโรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์ ทั้งระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความมานะพยายามในการศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาและจบชั้นสูงสุดของโรงเรียน ถือเป็นความสำเร็จทางการศึกษาขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญเพื่อก้าวย่างที่มั่นคงสำหรับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไป
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3
พ่อขอแสดงความยินดีกับลูกๆ บัณฑิตน้อยทุกคน คณะครูและผู้ปกครองที่มีส่วนในความสำเร็จในวันนี้ ขอเป็นกำลังใจและอำนวยพรให้ทุกคนได้ก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จในการศึกษาต่อไป บนพื้นฐานแห่ง “คุณธรรม นำความรู้” ที่ได้รับการปลูกฝังจากสถานศึกษาแห่งนี้ และต่อยอดให้พบกับความสำเร็จในชีวิตในอนาคตตามที่ทุกคนมุ่งหวัง
ขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านที่มอบความไว้วางใจให้โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์ ได้มีส่วนในการวางรากฐานทางการศึกษาแก่บุตรหลานของท่าน และวันนี้ขอส่งมอบบุตรหลานคืนให้กับพวกท่าน เพื่อช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนพวกเขา ให้ก้าวหน้าทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น จนประสบผลสำเร็จในชีวิตและดำรงตนในสังคมอย่างมีความสุข
ขอพระเจ้าและนักบุญยอแซฟ อวยพรทุกท่าน
ชั้นอนุบาล 3/1
ชั้นอนุบาล 3/2
ชั้นอนุบาล 3/3

ชั้นอนุบาล 3/4

ชั้นอนุบาล 3/5
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
ผู้จัดการและผู้แทนผู้รับใบอนุญาต

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การให้อภัยและการรักศัตรู



การให้อภัยและการรักศัตรู
สัปดาห์ที่ 7
เทศกาลธรรมดา
ปี A
ลนต 19:1-2,17-18
1 คร 3:16-23
มธ 5:38-48
บทนำ
ในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของ อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ต้องเผชิญกับคู่อริตัวฉกาจอย่าง เอ็ดวิน เอ็ม สแทนทัน (Edwin M. Stanton) ที่เกลียดลินคอล์นเข้ากระดูกดำ และกล่าวหาให้ร้ายเขาต่อสาธารณะอย่างเผ็ดร้อนในทุกเวทีการรณรงค์หาเสียง แต่คนที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันและเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาคือ อับราฮัม ลินคอล์น
เมื่อถึงเวลาของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ลินคอล์นได้ทำให้คณะที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนต้องแปลกใจมาก เพราะเขาได้เลือกสแทนทัน เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยเขายุติสงครามกลางเมืองและการเลิกทาส หากลินคอล์นยังถือโทษโกรธเคืองสแทนทัน ทั้งคู่คงเป็นอริกันจนวันตาย แต่พลังแห่งความรักและการให้อภัยของลินคอล์นได้แปรเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรและผู้ร่วมงานคนสำคัญ ที่ทำให้เขากลายเป็นมหาบุรุษของยุคสมัย
คนไทยเวลานี้กำลังเผชิญกับบรรยากาศแห่งความเกลียดชัง อันเป็นที่มาของความขัดแย้งรุนแรงในสังคม มีการต่อสู้ ทำร้ายและเข่นฆ่ากันแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” เหมือนในสังคมอดีต ทำให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ คริสตชนควรมีท่าทีเช่นไร ในพระวรสารพระเยซูเจ้าได้ปฏิรูปหลักคำสอนและวิธีปฏิบัติของยุคสมัย ด้วยการนำเสนอกฎ การให้อภัยและการรักศัตรู” ทั้งนี้เพราะพระองค์ตระหนักว่า ความชั่วไม่สามารถชนะได้ด้วยความรุนแรงและการแก้แค้น แต่ด้วย “ความดี ความรัก และการให้อภัย”
1.       การให้อภัยและการรักศัตรู
 ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าต้องการวางกรอบสำหรับผู้ที่อยากเป็นศิษย์ของพระองค์ เพื่อการดำเนินชีวิตในความรักที่ครบครัน โดยเฉพาะในความรักต่อเพื่อนพี่น้อง ซึ่งสามารถเข้าใจได้ใน 2 ลักษณะคือ การทำดีต่อทุกคนและต้อนรับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก แต่ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ การรักศัตรูและภาวนาให้ผู้ที่ทำไม่ดีกับเรา ซึ่งเห็นได้อย่างเด่นชัดในชีวิตของพระเยซูเจ้า ในแบบอย่างแห่งความรักของพระองค์บนไม้กางเขน
 “การให้อภัยและการรักศัตรู” เป็นมาตรฐานของความรักแบบคริสตชน เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของพระเจ้า ที่ทรงรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยก ไม่มีเงื่อนไข และไร้ขีดจำกัด แต่ธรรมชาติและความอ่อนแอตามประสามนุษย์ ทำให้เรารักศัตรูได้ยาก เราจะเลือกรักเฉพาะผู้ที่รักเราและทำดีต่อเรา พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจและรู้ถึงความยากลำบากนี้ พระวาจาของพระองค์ในวันนี้จึงท้าทายเราให้ออกจากตัวเอง เพื่อมุ่งสู่ความดีบริบูรณ์
รูปแบบของ “ความดีบริบูรณ์” ในชีวิตคริสตชนที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงคือ พระบิดาเจ้าสวรรค์ ที่โปรดให้ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม (มธ 5:45) เราจะสามารถเลียนแบบพระบิดาได้โดยการเลียนแบบพระเยซูเจ้า ในความนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระบิดาจนถึงที่สุดคือ ความตายบนไม้กางเขนและทรงร้องขอพระบิดาให้อภัยผู้ที่ตรึงพระองค์ (ลก 23:34) ยิ่งเราเลียนแบบพระเยซูเจ้ามากเท่าใด เราก็จะละม้ายคล้ายกับพระบิดาจ้ามากเท่านั้น
2.       บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องมีหัวใจแห่งการให้อภัย พระเยซูเจ้าได้วางแนวทางสำหรับศิษย์ของพระองค์บนพื้นฐานของ “ความรักและการให้อภัย” ในการปฏิบัติต่อผู้ที่ทำไม่ดีต่อเรา ที่ทำให้เราต้องลำบากเดือดร้อนหรือไม่มีความสุข พระองค์บอกเราว่า เราจะต้องยกโทษและให้อภัยด้วยใจกว้าง แม้จะเป็นเรื่องยากลำบากในการรักตอบ แต่อย่างน้อยเราต้องไม่ถือโทษโกรธเคืองหรือผูกพยาบาท นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงท้าทายเราคริสตชน
ประการที่สอง เราต้องรักและภาวนาให้ผู้ที่ทำไม่ดีต่อเรา สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัส “จงรักศัตรูและจงภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน” ชัดเจนในตัวมันเอง เพราะเวลาที่เราเกลียดชังและแค้นเคือง ผลสุดท้ายคือการทำลายตัวเราเองมากกว่าทำลายศัตรูของเรา ทำให้เราวุ่นวายใจ อยู่ไม่เป็นสุข เป็นผลเสียต่อสุขภาพ ความเกลียดชังไม่ได้ทำอะไรศัตรูของเราเลย ตรงข้ามมันได้เปลี่ยนวันชื่นคืนสุขของเราให้กลายเป็นนรก “กระสุนแห่งความเกลียดชังและแค้นเคืองจะทำลายศัตรูของเราได้ เมื่อมันทะลุผ่านร่างของเราแล้วเท่านั้น”
ประการที่สาม เราต้องพยายามที่จะเป็นคนดีบริบูรณ์เหมือนพระบิดาเจ้า เราจะกลายเป็นคนดีบริบูรณ์เมื่อเราพยายามที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ในการให้อภัยด้วยใจกว้าง และในกิจการดีทุกอย่างที่เรากระทำ เราต้องพยายามดำเนินชีวิตเยี่ยงพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่ทรงรักทั้งคนดีและคนชั่ว คนชอบธรรมและคนอธรรม ความรักจึงเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ความครบครันเหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องเราให้รักเพื่อนมนุษย์โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ต้องรักแบบไร้ข้อจำกัดและไม่มีกรณียกเว้น มาตรฐานความรักแบบคริสตชนที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดและทำให้เห็นด้วยชีวิตของพระองค์คือ การรักและการให้อภัยศัตรู ให้เราได้รักและให้อภัยผู้ที่ทำไม่ดีต่อเราด้วยใจกว้าง ตอบแทนความชั่วด้วยความดี แม้เป็นสิ่งที่ทำได้อยาก แต่อย่างน้อยเราต้องภาวนาเพื่อเขา
เราคริสตชนจะต้องเป็นคนดีและปฏิบัติต่อกันเยี่ยงพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่ทรงความดีบริบูรณ์ ทัศนคติและกิจการทุกอย่างที่เราทำต้องเลียนแบบพระเจ้าในความใจดี มีเมตตา และความรัก เป็นการง่ายที่จะรักคนที่รักเรา แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราทำมากกว่านั้น “จงรักศัตรูและจงภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน” เราจะต้องเป็นผู้นำความรักและการให้อภัยเช่นเดียวกับ นักบุญฟรังซิส อัสซีซี “ที่ใดมีความเกลียดชัง  ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก ที่ใดมีความเจ็บแค้น   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย” เช่นนี้เอง สันติสุขก็จะบังเกิดขึ้นในใจเรา ในครอบครัว ในหมู่คณะ และประเทศชาติของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
20 กุมภาพันธ์ 2014

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คำสอนและธรรมบัญญัติ



คำสอนและธรรมบัญญัติ
สัปดาห์ที่ 6
เทศกาลธรรมดา
ปี A
บสร 15:15-20
1 คร 2:6-10
มธ 5:17-37
บทนำ
ชายตาบอดคนหนึ่งกำลังเดินเลี้ยวช้าๆ ตรงมุมถนน โดยใช้ไม้เคาะบอกทาง ขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินรีบเร่งมาจากทิศทางตรงข้ามและเกิดชนกันเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้ทั้งคู่ล้มลง เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหและตะคอกชายนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ทำไมลุงเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” ชายตาบอดตอบด้วยความสุภาพว่า “ขอโทษพ่อหนุ่ม ผมไม่ทันได้มอง” แต่ละคนต่างมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีและมุมมองที่ต่างกัน
เช่นเดียวกับเรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่เราได้ยินในพระวรสารวันนี้ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องล้าสมัย ใช้ไม่ได้แล้ว เพราะเคร่งครัดจนเกินไปไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่นบทบัญญัติที่บอกว่า อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าผิดประเวณี บางคนจึงบอกว่าการถือปฏิบัติตามบทบัญญัติ เป็นเหมือนกับการตั้งนาฬิกาปลุกก่อนล่วงหน้าครึ่งชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ตื่นสาย
ในความเป็นจริง บทบัญญัติทั้งสิบประการไม่เคยล้าสมัย การฆ่าคน การลักขโมย หรือการผิดประเวณียังคงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสทุกยุคสมัยจนถึงทุกวันนี้ และพระเยซูเจ้าไม่ทรงประสงค์จะทำให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นเรื่องเข้มงวดจนเกินไป พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติเราจะพบความสุข ในทางกลับกัน เมื่อเราละเมิดธรรมบัญญัติหรือทำบาปจะทำให้เราพบความทุกข์และนำไปสู่ความตาย
ในพระวรสารวันนี้ นักบุญมัทธิวได้เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างธรรมบัญญัติของชาวยิวกับคำสอนของพระเยซูเจ้า ที่สอนด้วยแบบอย่างชีวิตของพระองค์ว่า พระองค์มิได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พระองค์บอกเราว่า ธรรมบัญญัติยังคงมีพลังและเจตนาที่เด่นชัดในตัวมันเอง จนกว่าจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ตามจุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ชาวอิสราแอลผ่านทางโมเสส และพระองค์ทรงมอบบัญญัติใหม่ให้แก่เรา นั่นคือ “บัญญัติแห่งความรัก”

1.         คำสอนและธรรมบัญญัติ
นักบุญมัทธิว เขียนพระวรสารสำหรับชาวยิว โดยอ้างพันธสัญญาเดิม เพื่อแสดงให้เห็นว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าไม่ได้แยกต่างหากจากธรรมประเพณีของชาวยิว แต่เป็นผู้ที่บรรดาประกาศกในพันธสัญญาเดิมทำนายถึง และพระองค์ได้ทำให้คำทำนายของบรรดาประกาศกสำเร็จไป เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ได้มาทำลายธรรมบัญญัติแต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์ นั่นหมายความว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อชี้ให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของธรรมบัญญัติ บนหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ “การแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าได้สรุปบทบัญญัติสิบประการในความสัมพันธ์ที่พึงมีต่อพระเจ้าและต่อผู้อื่น อันเป็นที่มาของบัญญัติแห่งความรัก นั่นคือ รักพระเจ้าและรักเพื่อนพี่น้อง พระองค์ไม่ได้ลบล้างธรรมบัญญัติ แต่ได้นำเสนอวิธีคิดและความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมบัญญัติ สำหรับพระองค์ “การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ” ไม่เป็นการเพียงพอ ผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์จำเป็นจะต้องเข้าใจถึงความหมายที่ว่า ธรรมบัญญัติตั้งอยู่บนความรัก การรักษาธรรมบัญญัติโดยปราศจากความรัก จึงเป็นเหมือนกับร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณ
ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า “ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้” (มธ 5:20) พระองค์ทรงชมเชยบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีในการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาที่ไม่ถือปฏิบัติตามจิตตารมย์ของธรรมบัญญัติ เพราะพวกเขาถือตามกฎเกณฑ์แต่ภายนอกเพื่อสนองตอบความพึงพอใจของตนเอง แต่ไม่ได้นำความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมาปฏิบัติในชีวิตจริง

2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวรสารวันนี้ได้ให้แนวปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของพระเยซูเจ้า 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ความโกรธ การผิดประเวณี การหย่าร้าง และการสาบาน พระองค์ทรงเริ่มคำสอนด้วยพระดำรัสที่ว่า “ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า แล้วสอนว่า “แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ซึ่งเป็นการทำให้ธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทรงเรียกร้องให้เราทำมากกว่าธรรมบัญญัติหรือคำสอนในอดีต คริสตชนต้องมองเห็นพระเจ้าในผู้อื่นและในสิ่งสร้าง
ตัวอย่างแรก ความโกรธ พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า ไม่เพียงไม่โกรธ แต่จะต้องให้ความเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน เพราะพระเจ้าทรงรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยกและไม่มีเงื่อนไข พระเยซูเจ้าได้มอบชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อความรอดของทุกคน ประการสำคัญ ต้องพร้อมที่จะคืนดีกับทุกคนก่อนจะนำเครื่องบูชาไปถวาย มิฉะนั้นแล้ว เครื่องบูชาและคำภาวนาของเราจะไม่มีความหมาย
ตัวอย่างที่สอง การผิดประเวณี พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าไม่เพียงไม่กระทำผิดประเวณี แต่ยังห้าม “ความคิดชั่ว” ที่ผิดต่อสายพระเนตรของพระเจ้า การผิดประเวณีไม่เพียงผิดด้านศีลธรรม แต่ยังผิดต่อความยุติธรรมในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนชีวิตของกันและกัน และทำลายสัมพันธภาพของชีวิตสมรส เราจะต้องไม่ใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อสนองความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังของเรา
ตัวอย่างที่สาม การหย่าร้าง พระเยซูเจ้าสอนว่า การหย่าร้างอาจถูกต้องในบางกรณี แต่ขัดแย้งกับศักดิ์ศรีและสิทธิสตรี โดยถือว่าการหย่าร้างเป็นความเห็นแก่ตัวและผิดศีลธรรม เพราะการแต่งงานเป็นพันธสัญญาที่ผูกมัดและเรียกร้องความมั่นคงของชีวิตคู่ บนพื้นฐานของความรัก ความซื่อสัตย์ การให้เกียรติและให้อภัยกัน
ตัวอย่างที่สี่ การสาบาน พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นว่า คริสตชนที่ดีจะต้องไม่สาบานเลย เพราะคริสตชนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่เสแสร้ง จะต้องมีความจริงใจในการเสวนาและเป็นที่ชื่อถือไว้วางใจแก่ทุกคนเวลาพูด โดยไม่ต้องอ้างถึงใครหรือสิ่งอื่นใดอีก ต้องพูดจาตรงไปตรงมาตามความจริง “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ (มธ 5:37)
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าไม่ได้สอนหลักศีลธรรมใหม่หรือลบล้างสิ่งใดในธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก แต่ทรงปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยการมอบ “บัญญัติแห่งความรัก” แก่ผู้ที่เป็นศิษย์ติดตามพระองค์ทุกคน บนพื้นฐานแห่งความรักที่พวกเขาพึงมีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ซึ่งเป็นพระประสงค์ที่แท้จริงในการมอบธรรมบัญญัติแก่ประชากรอิสราแอล “ความรัก” จึงเป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของคริสตศาสนา อย่างที่นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า “จงรักพระเจ้าและกระทำตามที่ท่านปรารถนา”

ดังนั้น บทบัญญัติสิบประการ บุญลาภ และคำสอนทุกอย่างของพระเยซูเจ้า ล้วนแล้วแต่ท้าทายและบอกให้เราทราบว่า เราต้องตอบคำว่า “ใช่” (Yes!) เพื่อจะเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า ให้เราเลียนแบบอย่างของพระแม่มารีย์ ศิษย์คนแรกของพระเยซูเจ้า ผู้เป็นต้นแบบของการตอบรับต่อแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราแต่ละคนได้ตอบรับด้วยการปฏิบัติความรักต่อเพื่อนพี่น้องของเรา เป็นต้นในครอบครัว หมู่คณะและวัดของเรา “ความสุขที่เรามีจะยังไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะได้แบ่งปันกับผู้อื่น”
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
13 กุมภาพันธ์ 2014