เกลือและแสงสว่าง
สัปดาห์ที่
5
เทศกาลธรรมดา
ปี
A
|
อสย 58:7-10
1 คร 2:1-5
มธ 5:13-16
|
บทนำ
การก่อกำเนิดขึ้นของสถานีโทรทัศน์ EWTN (the
Eternal Word Television Network) เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง
ที่เชื่อมั่นว่าเธอสามารถเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลกได้ เธอคือคุณแม่มารีย์
แองเจลิกา (Mother Mary Angelica) คณะฟรังซิสกัน ในปี
ค.ศ. 1981 เธอได้เริ่มทำโทรทัศน์คาทอลิกออกอากาศวันละ 2-3 ชั่วโมง จากโรงรถของอารามนักบุญคลาราที่ยากจนแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา
โครงการนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ได้กลายเป็นโครงข่ายพระวาจาทรงชีวิตเชื่อมโยงทั่วโลก
ออกอากาศ 24 ชั่วโมง ทั้งทางเคเบิ้ลและดาวเทียม
คุณแม่แองเจลิกาเป็นตัวอย่างของคริสตชนแท้ที่ดำเนินชีวิตตามความเชื่อ
ด้วยการเป็นเกลือในการรักษาคุณค่าแบบคริสตชนผ่านทางสื่อสารมวลชน เธอได้ตั้งตะเกียงของเธอเอาไว้บนเชิงตะเกียง
เพื่อให้แสงสว่างของพระคริสตเจ้าฉายแสงสำหรับทุกคนในชุมชนโลก
“เกลือ”
และ “แสงสว่าง” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เราใช้เกลือในการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย
ดังสำนวนที่ว่า “ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ” เกลือจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ถึงขนาดที่บางเผ่าในแอฟริกากำหนดให้ฝ่ายชายต้องจ่ายค่าสินสอดเป็นเกลือ
มิฉะนั้นจะไม่ยอมยกลูกสาวให้ ขณะที่กองทัพโรมันใช้เกลือเป็นค่าจ้างจ่ายให้กับทหารในแต่ละเดือน
อันเป็นที่มาของคำว่า “Salary”
ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า เงินเดือน
ส่วนแสงสว่างทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ
และเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ และมนุษย์
โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชซึ่งใช้แสงแดดในการสังเคราะห์แสง เพื่อการเจริญเติบโต ชาวโรมันจึงมีสำนวนว่า “ไม่มีสิ่งไหนที่มีประโยชน์มากเท่ากับดวงอาทิตย์และเกลือ”
(Nil utilius sole et sale) เพราะหากไม่มีดวงอาทิตย์ เราจะไม่เห็นแสงสี ความสวยงาม
และการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หากไม่มีเกลืออาหารจะเน่าเสียและขาดรสชาติไป
1.
เกลือและแสงสว่าง
พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของ
“เกลือ” และ “แสงสว่าง”
ซึ่งชาวยิวทั่วไปในสมัยของพระองค์คุ้นเคยและเข้าใจดีเพื่อสอนศิษย์ของพระองค์
พระวรสารตอนนี้เป็นตอนที่ต่อจากคำเทศนาบนภูเขาเรื่อง “บุญลาภ”
ที่เราได้ฟังในสัปดาห์ที่ผ่านมา
พระองค์ต้องการบอกผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์ให้เจริญชีวิตแบบบุญลาภในแต่ละวัน
คริสตชนมีพันธกิจในการนำคำสอนของพระเยซูเจ้าไปปฏิบัติ นั่นคือ การเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของ
“เกลือ” พระองค์ต้องการหมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ควรแก่การยกย่อง
ดังนั้นเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน”
จึงเป็นการเน้นให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ที่ศิษย์ของพระองค์พึงตระหนักอยู่เสมอ ดุจดังเกลือซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง
ประการแรก
ทำให้บริสุทธิ์ ชาวโรมันถือเกลือเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มากกว่าสิ่งอื่นทั้งหลาย
เนื่องจากเป็นผลผลิตที่ผ่านความร้อนของแสงแดดแผดเผาน้ำทะเล จนเหลือเพียงเกลือที่บริสุทธิ์
ดังนั้น ชาวโรมันจึงใช้เกลือเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของเกลือ
พระองค์ทรงต้องการให้ผู้ติดตามพระองค์เป็นต้นแบบของความบริสุทธิ์ดุจเกลือ
ประการที่สอง
ถนอมอาหาร
ผู้คนตั้งแต่โบราณกาลใช้เกลือในการถนอมอาหารมิให้เน่าเสียและป้องกันมิให้เสื่อมสภาพ
สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน ในอดีตที่ยังไม่มีตู้เย็น เกลือเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ดังนั้น
ผู้ติดตามพระคริสตเจ้าจะต้องมีคุณสมบัติดุจเกลือ การเจริญชีวิตและการปรากฏตัวของพวกเขา
จะต้องช่วยกระตุ้นคนอื่นให้มีใจร้อนรนในความรักของพระเจ้าเสมอ
ประการที่สาม เพิ่มรสชาติ อาหารที่ขาดเกลือเหมือนขาดรสชาติ
เกลือจึงทำให้อาหารมีรสดียิ่งขึ้น ถ้าเกลือจืดเสียแล้วจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
ดังนั้น ผู้เป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้าจึงถูกเรียกร้องให้เป็นเกลือดองแผ่นดิน
ที่นำความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น และความบริสุทธิ์มาสู่ครอบครัว สังคม
หรือหมู่คณะที่เราอยู่
ส่วนภาพพจน์เรื่อง “แสงสว่าง” พบบ่อยมากในพระคัมภีร์
ในพระวรสารวันนี้พระเยซูเจ้าได้อธิบายให้เห็นภาพของ “เมืองที่ตั้งบนภูเขา”
ไม่สามารถปิดบังได้ และตรัสถึง “ตะเกียงที่ใช้จุดภายในบ้าน” เมื่อจุดแล้วย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน
มิใช่เอาถังครอบไว้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ท่านเป็นแสงสว่างส่องโลก”
เราจะต้องเป็นแหล่งพลังสำหรับคนอื่น และฉายแสงเพื่อให้คนอื่นได้เห็นกิจการดีในตัวเรา
ดุจดังแสงอาทิตย์ที่มีหน้าที่หลายอย่าง
ประการแรก ส่องสว่าง ช่วยขจัดความมืดให้หมดสิ้นไปและทำให้เกิดความสว่าง
พระเยซูเจ้าต้องการให้ผู้ติดตามพระองค์และคริสตชนมีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์
เพื่อนำคนอื่นให้มาพบพระเจ้า เป็นเหมือนประภาคารที่ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงให้ใครได้ยิน
เพียงแต่ส่องสว่างให้ผู้เดินทางได้เห็น ชีวิตของคริสตชนต้องส่องสว่างให้คนอื่นได้เห็นกิจการดีที่เรากระทำ
ประการที่สอง นำทาง ช่วยให้คนอื่นได้มองเห็นทางและเดินตรงไปยังเป้าหมายอย่างปลอดภัย
ข่าวดีแห่งพระวรสารและการเป็นคริสตชนจึงมิใช่การเก็บไว้กับตัวเองหรืออยู่โดยลำพัง
แต่จะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน
เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า
ประการที่สาม เตือนภัย ช่วยเตือนให้ผู้เดินทางได้รู้ถึงอันตรายข้างหน้า
คริสตชนจึงต้องเป็นเหมือนสัญญาณไฟที่เตือนให้ทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น มีลักษณะของการเป็นผู้นำ
ที่ร้อนรนไม่มีความกลัวใดๆ เพื่อเราจะได้เป็นต้นแบบและเตือนผู้อื่นให้เดินในหนทางที่ถูกต้อง
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้
ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก
เราต้องดำเนินชีวิตเป็นเกลือและแสงสว่าง พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นทั้งเกลือและแสงสว่าง
คุณสมบัติของเกลือคือความเค็ม ไม่มีวันที่เกลือจะสูญเสียความเค็ม นั่นหมายความว่า
เราคริสตชนไม่สามารถหยุดทำกิจการดีได้
มิฉะนั้นเราไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน
เช่นเดียวกับแสงสว่างที่มีหน้าที่ต้องส่องสว่าง นั่นคือ ฉายแสงให้คนอื่นได้เห็นแสงสว่างขององค์พระคริสตเจ้า
เพื่อทุกคนจะสามารถมองเห็นความจริงและความถูกต้อง
ประการที่สอง เราต้องปฏิบัติตนดุจเกลือและแสงสว่าง
ในการแบ่งปันพันธกิจของพระคริสตเจ้าในฐานะพระสงฆ์ ประกาศกและกษัตริย์
1) ในฐานะพระสงฆ์ ในการภาวนาและร่วมในความทุกข์ทรมานเพื่อเห็นแก่พระเจ้า
โดยเฉพาะในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์
2) ในฐานะประกาศก ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้าด้วยคำพูดและการกระทำ
ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
3) ในฐานะกษัตริย์ ในการรับใช้ซึ่งกันและกันอย่างมีชีวิตชีวา
ดุจเดียวกับพระคริสตเจ้าที่เสด็จมาเพื่อรับใช้และมอบชีวิตเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน
ประการที่สาม
เราต้องทำให้ชีวิตของเราเป็นเหมือนเกลือและแสงสว่าง
เกลือเพียงเล็กน้อยทำให้อาหารมีรสชาติ แบบอย่างชีวิตคริสตชนที่ดีงามทำให้คนอื่นประทับใจและทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกัน แสงสว่างเพียงน้อยนิดช่วยขับไล่ความมืดออกไป ความเชื่อและความรักเพียงเล็กน้อย
สามารถขับไล่ความเกลียดชังและความอิจฉาริษยาให้หมดสิ้นไปได้ การกระทำและกิจการที่ดีงามของเราจึงเป็นภาพสะท้อนของพระคริสตเจ้า
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าตรัสกับเราอย่างชัดเจนว่า “ท่านเป็นเกลือและแสงสว่าง”
เราต้องทำให้ความเชื่อของเราเกิดผลในภาคปฏิบัติคือ “ความรัก”
และความรักนี้จะต้องกลายเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก ดังนั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงองค์พระคริสตเจ้า
ฉายแสงเพื่อนำความสว่างไปสู่ชีวิตของผู้อื่น ช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวา
มีคุณค่าและความชื่นชมยินดี “แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อให้คนทั้งหลายได้เห็นกิจการดีของท่าน
และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ 5:16)
ดังนั้น ชีวิตของเรา
สิ่งที่เราทำ และวิธีการที่เราใช้ จะต้องเป็นเกลือและแสงสว่างที่มีความหมายสำหรับผู้อื่น
กิจการที่เรากระทำจะต้องเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นได้แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลก
คริสตชนจะต้องโดดเด่นต่อหน้าผู้อื่นผ่านทางการกระทำและชีวิตของเรา เป็นต้น
ในความรักต่อกัน ในการให้อภัยซึ่งกันและกันด้วยใจกว้าง ในความเห็นอกเห็นใจกัน ในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปันสิ่งที่เรามีแก่ผู้อื่น
เช่นนี้เอง ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น “เกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก”
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
7 กุมภาพันธ์ 2014
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น