สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ปี A
1 ซมอ 16:1ข, 6-7, 10-13ก
อฟ 5:8-14
ยน 9:1, 6-9, 13-17, 34-38
บทนำ
มีชายสองคนป่วยหนักนอนอยู่ในห้องเดียวกันมีม่านกั้น ชายคนหนึ่งได้รับอนุญาตจากหมอให้ลุกขึ้นนั่งได้วันละหนึ่งชั่วโมงในตอนบ่าย เตียงของเขาอยู่ชิดหน้าต่างซึ่งมีอยู่เพียงบานเดียวในห้องนั้น ส่วนชายอีกคนหนึ่งต้องนอนราบอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ทั้งสองคุยกันเป็นชั่วโมงๆ เกี่ยวกับครอบครัว บ้าน การงาน การท่องเที่ยว และเรื่องสัพเพเหระ
ทุกครั้งที่ชายคนที่นอนอยู่ติดหน้าต่างลุกขึ้นนั่งในตอนบ่าย เขาจะบรรยายสิ่งต่างๆ ที่มองเห็นผ่านหน้าต่างให้กับชายอีกคนฟังอย่างละเอียด ชายอยู่ห่างจากหน้าต่างรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้รับทราบเรื่องราวโลกภายนอกผ่านการบอกเล่าของเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งพรรณนาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างให้เขาฟังทุกวัน และเขาจะหลับตาจินตนาการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามไปด้วยทุกครั้ง
เช้าวันหนึ่งนางพยาบาลพบว่าชายที่อยู่ริมหน้าต่างเสียชีวิตแล้ว ชายที่อยู่ร่วมห้องรู้สึกเศร้าใจมากที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนคอยเล่าเรื่องราวนอกหน้าต่างให้ฟังอีก เมื่อเวลาผ่านไปเขาได้ขออนุญาตไปนอนที่ริมหน้าต่าง นางพยาบาลจัดการย้ายเตียงให้ด้วยความยินดี เมื่ออยู่ตามลำพังเขาค่อยๆ ยันกายขึ้นอย่างเชื่องช้า เพื่อจะได้มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นโลกภายนอกด้วยสายตาของตนเอง เขาพบว่ามันไม่มีอะไรนอกจากกำแพงว่างเปล่า และทราบความจริงจากนางพยาบาลว่า ชายที่เพิ่งจากไปเป็นคนตาบอด
สำหรับชาวยิวการที่ใครคนใดคนหนึ่งเกิดมาตาบอด เป็นผลมาจากบาปของเขาเองหรือบาปของบิดามารดาของเขา แต่พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ทั้งบาปของตัวเขาเองหรือบาปของบิดามารดาที่ทำให้เขาเป็นเช่นนั้น การที่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระฤทธานุภาพของพระเจ้าปรากฏ เขาได้กลายเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความรักเมตตาของพระองค์
1. พระเยซูเจ้า: แสงสว่างแห่งโลก
ในพระวรสารวันนี้ เราได้ยินเรื่องราวการรักษาชายตาบอดแต่กำเนิด ของพระเยซูเจ้า ถือเป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่งของยอห์น ซึ่งได้เห็นการรักษาของพระเยซูเจ้าด้วยตนเอง ยอห์นจึงบอกถึงขั้นตอนของการกลับมามองเห็นและมีความเชื่อในพระเยซูเจ้าของชายตาบอดอย่างละเอียด พระเยซูเจ้าทรงถ่มน้ำลายลงบนดินทำเป็นโคลนป้ายตาและบอกให้ไปล้างที่สระสิโลอัม คนโบราณถือว่าน้ำลายสามารถรักษาโรคได้
ยอห์นได้นำเสนอพระเยซูเจ้าเป็นแสงสว่างของโลก ชายตาบอดแต่กำเนิดไม่เพียงมองเห็นเหมือนคนปกติ แต่ตาใจของเขายังได้รับแสงสว่างและรับรู้ว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร การรักษาของพระเยซูเจ้าทำให้เขามองเห็นสิ่งต่างๆ และเห็นพระเยซูเจ้าในฐานะองค์แห่งความสว่าง ในขณะที่ชาวฟาริสีมองไม่เห็น พวกเขายังคงเดินในความมืด กล่าวกันว่า “คนที่ตาบอดที่สุดก็คือคนตาดีนี่แหละ แต่มองไม่เห็นความเดือดร้อนและความต้องการของผู้อื่น”
การรักษาชายตาบอดอย่างอัศจรรย์ ได้เปิดเผยให้ทราบความจริงที่ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของโลก “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” (ยน 8:12) บทอ่านในวันนี้เตือนใจเราว่า เราทุกคนเกิดมาในความบอดมืดฝ่ายจิตใจ ความบอดมืดนี้สิ้นสุดลงเมื่อเราได้เป็นส่วนหนึ่งแห่งพระกายทิพย์ของพระคริสต์เจ้าผู้เป็นแสงสว่างของโลก ผ่านทางในศีลล้างบาปทำให้เราได้รับพระพรฝ่ายจิต พ้นจากความมืดสู่ความสว่างเหมือนชายตาบอดที่มองเห็นแสงสว่าง
2. บทเรียนสำหรับเรา
ประการแรก เราต้องอนุญาตให้พระเยซูเจ้ารักษาความบอดมืดฝ่ายจิต เราแต่ละคนล้วนมีจุดบอดในตนเอง ในครอบครัว ในหน้าที่การงาน และในบุคลิกส่วนตัว เหมือนฟาริสีในพระวรสารที่อยู่ในความมืด มองไม่เห็นความยากจน ความอยุติธรรมและความเจ็บปวดที่อยู่รอบตัวพวกเขา ให้เราได้ตระหนักว่าพระเยซูเจ้าสามารถรักษาความบอดมืดเหล่านี้ เราต้องการให้พระองค์ขจัดรากเหง้าแห่งความบอดมืดในตัวเรา ได้แก่ การยึดตันเองเป็นศูนย์กลาง ความละโมบ ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา และใจที่แข็งกระด้างให้หมดสิ้นไป
ประการที่สอง เราต้องการขจัดวัฒนธรรมแห่งความบอดมืด วัฒนธรรมในสังคมปัจจุบันมีจุดบอด ซึ่งเป็นความบอดมืดในทางศีลธรรม อาทิ การประพฤติผิดทางเพศ สื่อลามกอนาจารที่ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของความมนุษย์ ให้กลายเป็นเหมือนสิ่งของที่สามารถซื้อขายกันได้ วัฒนธรรมแห่งความบอดมืดนี้สามารถเอาชนะได้หากเราแต่ละคนให้พระเยซูเจ้าเจริญชีวิตในเรา ตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระองค์ในผู้อื่น ผ่านทางการภาวนา การรำพึงตามพระวาจาและรับศีลศักดิ์สิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ
ประการที่สาม เราต้องให้แสงสว่างของพระเยซูเจ้าฉายแสงในตัวเรา กระแสเรียกคริสตชนเรียกร้องให้เราเป็นแสงสว่างของโลก เราได้รับแสงสว่างขององค์พระคริสตเจ้าแล้วผ่านทางศีลล้างบาป เราจึงมีหน้าที่ในการเป็นแสงสว่างของโลกเหมือนอย่างพระองค์ ยิ่งเราเจริญชีวิตละม้ายคล้ายกับพระองค์และให้แสงสว่างของพระองค์ฉายแสงในตัวเรามากเท่าใด เราก็จะกลายเป็นแสงสว่างสำหรับผู้อื่นมากเท่านั้น
บทสรุป
พี่น้องที่รัก ชาวฟาริสีและชาวยิวมองคนตาบอดว่าเป็นคนบาป ได้รับการลงโทษจากพระเจ้า เราคริสตชนจะต้องไม่มองคนที่เกิดมายากจน และกำลังทนทุกข์เพราะความพิการและภัยพิบัติต่างๆ ในชีวิตว่า เป็นการลงโทษของพระเจ้า ไม่มองและตัดสินใครจากสิ่งที่ปรากฏภายนอก (เหมือนซามูแอลในตอนแรก) แต่จะต้องมองให้ลึกลงไปในจิตใจเหมือนพระเจ้า และเดินในความสว่างของพระคริสตเจ้า พระอาจารย์เจ้าของเรา
พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างแห่งความเชื่อของเรา เราจะต้องเปิดตาของเราต่อพระองค์และเจริญชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ ด้วยการเป็นแสงสว่างของโลกที่ฉายแสงแห่งความรักของพระองค์ให้ทุกคนได้เห็น เราจะต้องจองจำความเป็นตัวกูของกูไว้ ไม่กระทำการใดๆ อย่างอคติ ยอมรับบุคคลอื่นอย่างที่เขาเป็น ขจัดความเกลียดชังและความเป็นศัตรูให้หมดสิ้นไป ประการสำคัญ เราจะต้องมองเห็นการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในผู้อื่น เช่นนี้เอง ความรักและแสงสว่างของพระองค์ก็จะฉายแสงในตัวเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว02 เมษายน 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น