วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี A
ปฐก 12:1-4ก
2ทธ 1:8ข-10
มธ 17:1-9

บทนำ

มีเรื่องเล่าว่า คริสตชนคนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการนิตยสารคาทอลิกฉบับหนึ่ง และได้ตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ในคอลัมน์ “จดหมายจากผู้อ่าน” เนื้อความในจดหมายพรรณนาถึงความรู้สึกผิดหวังจากการไปวัดวันอาทิตย์ เขาเขียนว่า “ผมไปวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์เป็นเวลา 30 ปี ตลอดเวลาผมได้ฟังบทเทศน์มากกว่า 3,000 ครั้ง แต่ผมจำไม่ได้สักบทเดียว ดังนั้น ผมคิดว่าผมกำลังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และพระสงฆ์กำลังเสียเวลาในการเทศน์สอนเช่นกัน”

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา บรรณาธิการได้รับจดหมายจากผู้อ่านอีกฉบับ เขียนว่า “ผมแต่งงานกับภรรยามาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวภรรยาของผมได้ทำอาหารให้ผมรับประทานมากกว่า 32,000 ครั้ง ผมจำเมนูอาหารไม่ได้ซักอย่างเดียว แต่ผมรู้และแน่ใจได้ว่า อาหารเหล่านั้นได้หล่อเลี้ยงชีวิตผมและทำให้ผมมีกำลังแข็งแรงในการทำงาน หากภรรยาไม่ทำอาหารให้ผมเสมอมา ผมคงลำบาก สุขภาพย่ำแย่และตายในที่สุด” การมาวัดวันอาทิตย์เป็นเช่นเดียวกัน พระวาจาของพระเจ้าและคำเทศน์สอนที่เราได้ยินได้ฟัง ได้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของเราให้เติบโตและเข้มแข็ง

เราได้เดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 2 ในเทศกาลมหาพรต ซึ่งพระวาจาของพระเจ้าได้พูดถึงการเรียกของพระเจ้า ในบทอ่านแรก พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้ออกจากบ้านเมืองของตน และอับราฮัมเชื่อแม้จะต้องเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก ทำให้อับราฮัมกลายเป็น “บิดาของผู้มีความเชื่อ” ในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้ย้ำเตือนว่า พระเจ้าได้ทรงเรียกเราแต่ละคนสู่ความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เราเชื่อไว้ใจในพระเจ้าและเกียรติมงคลที่รอคอยเราอยู่ งานของเราคือการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เป็นทุกข์ถึงบาป และกลับใจมาหาพระเจ้า เพื่อเตรียมตัวเองสำหรับเกียรติรุ่งโรจน์แห่งธรรมล้ำลึกปัสกา ที่เราจะได้รับพร้อมกับพระคริสตเจ้า

1. การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า

พระวรสารวันนี้ ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวที่งดงามเกี่ยวกับการประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า มัทธิวบอกเราว่า พระเยซูเจ้าทรงพาศิษย์ที่ทรงรัก 3 คน ได้แก่ เปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงแยกจากคนอื่น และทรงประจักษ์พระวรกายให้พวกเขาได้เห็น พระพักตร์ของพระองค์ส่องประกายเจิดเจ้าเหมือนดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์ขาววาววับ โมเสสและประกาศกเอลิยาห์ได้ปรากฏมาสนทนากับพระองค์ ถึงพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ที่พระองค์กำลังจะได้รับ

สำหรับพระเยซูเจ้า นี่คือช่วงเวลาที่พิเศษ เพราะพระองค์กำลังจะเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับทรมานและถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ทรงต้องการทำให้ศิษย์ของพระองค์เกิดความมั่นใจและมีความเข้มแข็ง ทำให้พวกเขาได้ทราบถึงความเป็นบุตรพระเจ้าของพระองค์ ผ่านทางพระสุระเสียงของพระบิดาเจ้าที่ตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” ซึ่งเป็นพระดำรัสเดียวกันที่ตรัสขณะที่พระองค์รับพิธีล้างจากยอห์น บัปติสต์ ก่อนจะเริ่มภารกิจของพระองค์

การที่พระพักตร์ของพระองค์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์ขาววาววับ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริงที่ส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน อีกทั้ง เป็นการบอกล่วงหน้าถึงการกลับคืนชีพและครองราชย์นิรันดรของพระองค์ ในฐานะพระเจ้าและกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล การปรากฏมาของโมเสสผู้รับมอบบัญญัติจากพระเจ้า และเอลิยาห์ประกาศกผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราแอล เป็นตัวแทนของธรรมบัญัติและธรรมประเพณี ที่รับรองการกระทำของพระเยซูเจ้าและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์

2. บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าสอนอะไรเราในวันนี้ เราได้ฟังการเรียกของพระเจ้าที่ทรงเรียกอับราฮัม และทรงเรียกเราแต่ละคนให้มาสู่ความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อร่วมส่วนในเกียรติมงคลรุ่งเรืองที่พระองค์ทรงเผยแสดงให้เปโตร ยากอบ และยอห์นได้เห็น โมเสสและเอลียาห์ได้ปรากฏมาสนทนากับพระองค์ ในเรื่องการที่พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เพื่อประกาศความรักต่อมนุษย์

ให้เราทำตามพระสุระเสียงของพระพระบิดาเจ้าที่ตรัสกับศิษย์ทั้งสามคนบนภูเขาทาบอร์ที่ว่า “จงฟังท่านเถิด” การฟังพระเยซูเจ้าคือ การฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส พระเจ้าตรัสกับเราหลายวิธีด้วยกัน ผ่านทางพระวาจาที่เราได้ยินได้ฟังและคำสอนของพระศาสนจักร ชีวิตของเราจะต้องมุ่งแสวงหาและปฏิบัติตามแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่น้ำใจของเรา

ศิษย์ของพระคริสตเจ้าทุกคนจะต้องยอมรับว่า “หนทางแห่งไม้กางเขน” เป็นหนทางชีวิตของเรา นั่นคือ เราต้องผ่านกางเขนเพื่อจะได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ ไม้กางเขนคือแบบอย่างแห่งความรักและการมอบชีวิตเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งหลาย ขอให้ชีวิตของเราไม่เพียงแต่เดินรูป 14 ภาคที่วัดทุกวันศุกร์เท่านั้น แต่เราจะต้องแบกกางเขนของเรา และเดินตามรูปแบบชีวิตพระเยซูเจ้าบนกางเขนทุกวันตลอดชีวิตของเรา

พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ทั้งสามว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” ทรงปลุกพวกเขาให้ตื่นจากภวังค์และเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิต นั่นคือ การลงจากภูเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า (ที่ซึ่งพวกเขาได้พบพระเจ้าและมีความสุขที่ได้อยู่นั่น) ทั้งนี้ เพื่อออกไปสู่ความเป็นจริงแห่งชีวิต การมาวัดในแต่ละอาทิตย์จึงไม่เพียงเป็นเวลาแห่งความสุขที่เราได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า ได้รับพระองค์ในศีลมหาสนิทและได้อยู่กับพระองค์ในวัด แต่เราจะต้องนำพระองค์กลับไปพร้อมกันกับเราในชีวิตประจำวัน ให้พระองค์ทรงนำทางและมองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ในเพื่อนพี่น้อง

บทสรุป

พี่น้องที่รัก เราได้ฟังพระดำรัสของพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่ตรัสกับเราว่า พระเยซูเจ้าคือบุตรสุดที่รักของพระองค์ เราจะต้องฟังพระองค์เพราะพระองค์มีพระวาจาทรงชีวิต และทรงรับเกียรติมงคลรุ่งเรืองผ่านทาง “หนทางแห่งไม้กางเขน” ให้เราได้น้อมรับความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตและมองเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลก ให้เราเลียนแบบอย่างของพระองค์และนำพระวาจาของพระองค์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความรักและการให้อภัยเพื่อนพี่น้องด้วยใจกว้าง โดยเริ่มจากในครอบครัวของเราเองก่อน แล้วขยายไปสู่เพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง เพราะนี่คือ การดำเนินชีวิตคริสตชนที่แท้จริง บนหนทางแห่งไม้กางเขนที่พระเยซูเจ้าทรงมอบไว้ให้แก่เรา ซึ่งพระศาสนจักรเรียกร้องเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
18 มีนาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น