วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

บิดาผู้ใจดีและให้อภัย

วันเสาร์
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
มคา 7:14-15, 18-20
ลก 15:1-3, 11-32

 บิดาผู้ใจดีและให้อภัย

คำอุปมาเรื่อง “ลูกล้างผลาญ” (The prodigal son) ที่เราได้ยินในพระวรสารวันนี้ ถือเป็นคำอุปมาที่กินใจและถูกกล่าวถึงมากที่สุดในบรรดาคำอุปมาของพระเยซูเจ้า แต่ที่ถูกต้องควรเรียกว่า “บิดาผู้ใจดีและให้อภัย” เพราะผู้ที่เป็นวีรบุรุษในเรื่องไม่ใช่บุตรแต่เป็นบิดา คำอุปมาได้กล่าวถึงชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน บุตรคนเล็กได้ขอให้บิดาแบ่งสมบัติส่วนที่เป็นของตน จากนั้นได้เดินทางไปต่างแดนใช้ชีวิตเสเพลล้างผลาญสมบัติจนหมดสิ้น ขณะที่บุตรคนโตยังคงอยู่กับบิดา

ตามกฎหมายของยิว บิดาไม่อาจยกสมบัติให้ใครตามใจชอบ เขาจำเป็นต้องยกสมบัติ 2/3 ส่วนให้บุตรชายคนโต และ 1/3 ส่วนให้บุตรชายคนเล็ก (ฉธบ 21:17) เนื่องจากธรรมเนียมยิวยกย่องบุตรชายหัวปี และเป็นธรรมดาที่บิดาจะแบ่งมรดกให้บุตรขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แต่มรดกจะตกแก่บุตรเมื่อบิดาตายแล้ว ดังนั้น การที่บุตรคนเล็กขอให้แบ่งสมบัติและยกให้ตนขณะที่บิดายังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่ให้เกียรติบิดา

คำอุปมาได้แสดงให้เห็นถึงชีวิตตกต่ำถึงขีดสุดของบุตรคนเล็ก เขากลายเป็นคนเลี้ยงหมูซึ่งเป็นสัตว์สกปรก (ลวต 11:7) สำหรับชาวยิวที่เคร่งศาสนาจะไม่มีวันทำอาชีพนี้โดยเด็ดขาด ทำให้เขาคิดถึงบิดาและตัดสินใจกลับบ้าน โดยตั้งใจขอให้บิดารับเขาเป็นเหมือนคนใช้ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุด ในบ้านหลังใหญ่ของชาวยิวมีคนใช้อยู่สามประเภท คือ “บ่าว” ซึ่งเกือบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว อีกประเภทหนึ่งคือ “ลูกน้องของบ่าว” ซึ่งทำงานหนักกว่า และสุดท้ายที่มีฐานะต่ำที่สุดคือ “ลูกจ้างรายวัน” ซึ่งจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไหร่ก็ได้

ที่จริงบุตรคนเล็กต้องการขอเป็นเพียงคนใช้ที่มีฐานะต่ำที่สุด แต่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะขอให้บิดาทำเช่นนั้น (ลก 15:21) เพราะบิดาตัดบทและสั่งให้คนใช้ต้อนรับเขาด้วยสิ่งของสามอย่าง (ลก 15:22) ดังต่อไปนี้

1) เสื้อ หมายถึงเกียรติยศ เป็นการให้เกียรติบุตรที่กลับมา

2) แหวน หมายถึงความเป็นใหญ่ เป็นการให้อำนาจดูแลทรัพย์สินทั้งหมดแก่เขา

3) รองเท้า หมายถึงฐานะการเป็นบุตร เพราะในครอบครัวยิวมีแต่บุตรเท่านั้นที่สวมรองเท้า (ส่วนคนใช้เดินเท้าเปล่า)

คำอุปมานี้เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่พระเยซูเจ้าถูกวิจารณ์ว่า เป็นมิตรกับคนเก็บภาษีและคนบาป คำอุปมานี้จึงแสดงให้เห็นถึงท่าทีของพระเจ้าต่อคนบาป

ประการแรก พระเจ้าทรงต้องการคนบาป แม้มนุษย์จะกระทำชั่วแต่พระเจ้ายังต้องการเขาอยู่ ด้วยการส่งพระบุตรมาไถ่บาปเพื่อให้เขาได้เดินในหนทางแห่งความรอด

ประการที่สอง พระเจ้าเฝ้ารอการกลับมาของคนบาป แสดงถึงความรักยิ่งใหญ่และการอภัยไม่สิ้นสุดของพระเจ้าที่ไม่จดจำความผิด แต่เพียรทนรอคอยวันที่เขากลับใจมาหาพระองค์

วันนี้พระเยซูเจ้าทรงเล่าคำอุปมานี้สำหรับเราแต่ละคน เราทุกคนคือบุตรคนเล็กที่เป็นคนบาปและหนีห่างจากพระเจ้า เราต้องกลับมาหาพระองค์ทุกวัน การเดินทางกลับบ้านคือการเดินทางฝ่ายจิตที่แสดงถึงการกลับใจอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงการละทิ้งบาปของเราและความทุกข์ที่เป็นผลของบาปเพื่อกลับมาหาพระองค์ คำอุปมาได้แสดงให้เราได้เห็นว่า บิดาไม่เคยละทิ้งเราแต่ตั้งตาคอยและเฝ้ารอการกลับมาของบุตรอยู่ทุกวัน

บทเรียนสำคัญอีกอย่าง ไม่ใช่เพียงบาปของบุตรคนเล็กเท่านั้นที่ทำให้เขาถอยห่างจากบิดา แต่เป็นความเกลียดชังของบุตรคนโตที่ไม่ยอมให้อภัยน้องของเขาและถือตัวว่าตนเองเป็นคนชอบธรรม ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือการที่เขาไม่สำนึกว่าตนเองมีความผิดอะไรเลยนั่นแหละ การถือตัวว่าเป็นคนชอบธรรมและดีกว่าคนอื่นไม่เพียงตัดเขาออกจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังตัดเขาออกจากเพื่อนพี่น้องด้วย พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เรายอมรับเพื่อนพี่น้องและให้อภัยเขาด้วยใจกว้าง และใช้ช่วงเวลาพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้ในการกลับใจเปลี่ยนแปลงชีวิตและกลับมาหาพระองค์

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย
6 มีนาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น