วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

เศรษฐีกับลาซารัส

วันพฤหัสบดี
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
ยรม 17:5-10
ลก 16:19-31

 เศรษฐีกับลาซารัส

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อแบร์นาโดได้ยินพระสุระเสียงของพระเจ้า ทำให้เขาคิดที่จะไปเป็นหมอที่ประเทศจีน เขาได้ใช้เวลาก่อนไปเป็นมิชชันนารีด้วยการรวมกลุ่มเด็กยากจนทางตะวันออกของลอนดอน หลังเลิกกิจกรรมมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อจิม จาร์วิส ไม่ยอมกลับบ้าน เมื่อถามไถ่ก็ทราบความจริงว่าที่ไม่กลับเพราะไม่มีบ้าน วันนั้นแบร์นาโดได้เรียนรู้ชีวิตเด็กกำพร้า แต่จิตใจของเขายังจดจ่ออยู่กับเรื่องเมืองจีน

ไม่นานหลังจากนั้น แบร์นาโดได้พบลอร์ดแชมพส์เบอรีในงานเลี้ยง และได้เล่าเรื่องของจิม จาร์วิสให้ฟัง ท่านลอร์ดไม่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง แบร์นาโดจึงอาสาพาไปยังโกดังเก็บของในเขตไวท์แชมเปิ้ล ที่นั่นลอร์ดแชมพส์เบอรีได้พบกับจิม จาร์วิส และเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันรวม 73 คน เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านลอร์ดได้พูดกับแบร์นาโดว่า “คุณแน่ใจหรือว่าพระเจ้าจะส่งคุณไปประเทศจีน” ทำให้เขาเข้าใจในทันทีว่าพระเจ้าส่งเขามาช่วยเด็กเร่ร่อนในบ้านเมืองของตน และเขาได้ลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อเด็กเหล่านั้น

พระวาจาของพระในวันนี้ได้นำเสนอคำอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส พระเยซูเจ้าได้ฉายภาพชีวิตเศรษฐีที่อยู่อย่างคนโลภอาหารและฟุ่มเฟือย “แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงทุกวัน” เขาได้ละเลยบัญญัติเอกและสำคัญที่สุดของพระเจ้าคือ “จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ชีวิตของเขาตั้งอยู่บนความสะดวกสบายด้านวัตถุและทำทุกอย่างเพื่อตนเอง โดยไม่เคยคิดถึงความลำบากเดือดร้อนของคนอื่น

ในทางตรงข้าม ลาซารัส มีชีวิตอยู่อย่างยากจนน่าสังเวช เป็นแผลเต็มตัว ไม่มีแรงแม้แต่จะไล่สุนัขที่กำลังเลียแผล เขาถูกนำมาทิ้งไว้ที่ประตูบ้านเศรษฐีและรอสิ่งที่ตกจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ได้ต้องการสิ่งที่มีค่าใดๆ นอกจากเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่เศรษฐีไม่ต้องการแล้ว เศรษฐีจึงเป็นตัวแทนของคนมั่งมีที่เห็นแก่ตัว ขณะที่ลาซารัส เป็นตัวแทนของเสียงกรีดร้องของคนจนที่ไม่มีใครได้ยินทุกยุคทุกสมัย

คำว่า “ลาซารัส” เป็นชื่อภาษากรีกแปลว่า “พระเจ้าเป็นผู้ช่วย” เพื่อเน้นให้เห็นความจริงที่ว่า ถึงแม้คนชอบธรรมจะยากจนไม่มีใครช่วยเหลือ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของเขาเสมอ เราจึงได้เห็นสถานการณ์ที่กลับกันหลังความตาย เศรษฐีกลายเป็นคนจนน่าสมเพชที่ร้องขอความช่วยเหลือจากลาซารัส (แต่คำร้องขอของเขาไม่ได้ยินและไม่ได้รับการตอบสนอง) ขณะที่ลาซารัสกลายเป็นคนร่ำรวยมีความสุขเพราะได้อยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม

คำอุปมานี้ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราว่า เราจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ต้องชดเชยตามราคาของสิ่งนั้น เวลามีชีวิตอยู่ในโลกเราอาจได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่อาจต้องสูญเสียวิญญาณหรือความสุขนิรันดรกับพระเจ้าในบั้นปลาย “ไม่ใช่สิ่งที่เศรษฐีทำลงไปที่ทำให้เขาตกนรก แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำต่างหาก” ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าจึงต้องแสดงออกต่อเพื่อนพี่น้องของเราด้วย เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ปรากฏพระองค์ให้เราเห็นในตัวคนยากจนขัดสน

ทรัพย์สมบัติหรือความร่ำรวยที่เรามีถือเป็นพระพรของพระเจ้า ที่เราต้องสำนึกเสมอว่ามิใช่สมบัติส่วนตัวของเราเพียงคนเดียว เราจะต้องแบ่งปันให้ผู้ที่ไม่มี เพื่อให้เขาสามารถเจริญชีวิตสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า เราจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับพี่น้องที่ขัดสนหรือเดือดร้อนเจียนตายไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นชะตากรรมของเราในชีวิตหน้าก็จะไม่ต่างจากเศรษฐีในวันพระวรสารวันนี้ เทศกาลมหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาของการหันกลับมามองดูตัวเองว่า อะไรคือแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน ทรัพย์สมบัติในโลกนี้หรือขุมทรัพย์เที่ยงแท้ในเมืองสวรรค์

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
สำนักมิสซังฯ สกลนคร
4 มีนาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น