วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดาปี C
บทอ่านที่ 1: ปชญ 18:6-9
บทอ่านที่ 2: ฮบ 11:1-2, 8-12
พระวรสาร: ลก 12:35-40
บทนำ
มีเรื่องเล่าว่า พระสงฆ์ใหม่องค์หนึ่งได้รับเชิญให้ไปเทศน์เตรียมฉลองความเชื่อประจำปีที่วัดแห่งหนึ่ง คุณพ่อตอบรับคำเชิญด้วยความเต็มใจและเตรียมตัวอย่างดี เพราะตระหนักว่าเป็นโอกาสที่จะได้ทำหน้าที่สงฆ์ ในการเทศน์เตือนใจสัตบุรุษให้กลับใจมาหาพระเจ้า คุณพ่อไปถึงวัดดังกล่าวก่อนเวลามิสซาพอสมควร และใช้เวลาช่วงนั้นในการทักทายสัตบุรุษเพื่อสร้างความคุ้นเคย
คุณพ่อเริ่มมิสซาด้วยความตั้งใจและเทศน์อย่างไหลรื่นตามที่เตรียมมา แต่เมื่อมองลงไปเห็นคนเต็มวัดกำลังฟังอย่างตั้งใจ คุณพ่อเริ่มประหม่าและไปสะดุดตรงคำว่า “จงเตรียมพร้อมไว้” นึกไม่ออกว่าจะเทศน์อะไรต่อไป คุณพ่อย้ำคำเดิมอีกครั้งเพื่อเรียกความทรงจำกลับมา “พี่น้อง จงเตรียมพร้อมไว้” แต่ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น สมองยังมืดแปดด้าน คุณพ่อเริ่มเหงื่อแตกตัวสั่น ทำให้ธรรมมาสน์ที่ยืนอยู่สั่นไหวไปด้วย
ที่สุด คุณพ่อร้องดังกว่าเดิมเป็นครั้งที่สามว่า “จงเตรียมพร้อมไว้” พอสิ้นเสียง ธรรมมาสน์ก็พังครืนลงมา ทำให้คุณพ่อเสียหลักหัวคะมำไปพาดอยู่บนตักของสตรีใจศรัทธาคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้า คุณพ่อรู้สึกอายมากและขอโทษสุภาพสตรีคนนั้นสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่สุภาพสตรีคนนั้นกลับบอกคุณพ่อว่า เป็นความผิดของเธอเอง คุณพ่ออุตส่าห์เตือนถึงสามครั้งแต่เธอกลับไม่เชื่อ ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม (นับเป็นความโชคดีของคุณพ่อใหม่องค์นั้น ที่เธอคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของบทเทศน์)
1. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลา
พี่น้องที่รัก มีสามสิ่งในชีวิตเราที่ไม่สามารถเรียกให้หวนกลับคืนมาได้ นั่นคือ เวลา คำพูด และโอกาส เราคงเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า “เวลาและวารีไม่คอยใคร (Time and tide wait for no man)” หรือ “คำพูดมีปีกบิน และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ (Words have wings, and cannot be recalled)” ก่อนพูดเราเป็นนายมัน แต่หลังจากพูดมันออกไป คำพูดเป็นนายเรา หรือ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่มีมาต้องรีบไขว่คว้าไว้ให้ได้ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะได้รับอีกอีก
มีเรื่องเล่าว่า ผีร้ายสามตนกำลังเตรียมออกปฏิบัติงานในโลก ได้มารายงานถึงแผนการที่จะทำกับหัวหน้าใหญ่ ผีตนแรกรายงานว่า “ข้าจะบอกมนุษย์ว่าไม่มีพระเจ้า” หัวหน้าปีศาจตอบว่า “ไม่ได้ผลหรอก เพราะส่วนลึกแห่งใจมนุษย์รู้ว่ามีพระเจ้า” อีกตนหนึ่งบอกว่า “ข้าจะบอกว่าไม่มีนรก” หัวหน้าปีศาจตอบว่า “นั่นยิ่งร้ายใหญ่ เพราะในความเป็นจริงชีวิตของมนุษย์เป็นนรกอยู่แล้ว” ตนสุดท้ายเสนอว่า “ข้าจะบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาอีกเยอะ” หัวหน้าปีศาจตอบว่า “ดีมาก รีบไปดำเนินการตามแผนของเจ้าเลย”
คำพูดที่อันตรายที่สุดคือ “ยังมีเวลาอีกเยอะ” หรือ “รอไว้พรุ่งนี้” เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ เวลาในชีวิตมนุษย์นั้นสั้นและผ่านไปเร็วมาก ความตายอาจมาเยือนวันนี้หรือหรุ่งนี้ ไม่มีใครรู้ บางคนจึงบอกว่า “ชีวิตมนุษย์สั้นเกินกว่าที่จะเห็นแก่ตัว” แต่คนส่วนใหญ่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับหลายสิ่งจนไม่มีเวลาสำหรับพระเจ้า โดยบอกกับตนเองว่า “รอไว้ก่อน ยังมีเวลา ไว้อายุมากค่อยเข้าวัด” หรือ “ให้รวยก่อนค่อยมาหาพระเจ้า” เราไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปในสภาพที่ยังอยู่ในบาป ห่างไกลจากพระเจ้า
2. จงเตรียมพร้อมไว้
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” (ลก 12:40) คำพูดนี้มีความหมาย 2 นัยยะ กล่าวคือ ประการแรก ความหมายแบบเจาะจง หมายถึง การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า หรือที่เรียกว่า “วันสิ้นพิภพ” และประการที่สอง ความหมายกว้าง หมายถึง การพบกับพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ จนถึงวันสุดท้ายที่พระเจ้าทรงเรียกเราไปพบคือ “ตาย”
บางครั้งเราคิดว่า การตื่นเฝ้าและรอคอยเป็นเรื่องไร้สาระ ความเชื่อเป็นเหมือนฝันกลางวัน ทำให้เราเพิกเฉยที่จะเตรียมตัวไปพบพระเจ้า แต่พระวรสารวันนี้ได้ให้กำลังใจและบอกเราว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้แก่เรา พระองค์ทรงสัญญาและจะประทานให้แก่เราอย่างแน่นอนในวาระสุดท้าย แต่เราจะต้องจุดตะเกียงของเราและตื่นเฝ้าอยู่เสมอ เหมือนดังคนใช้ที่ซื่อสัตย์ที่คอยนายกลับจากงานมงคลสมรส
ชีวิตคริสตชนถูกเรียกให้กลับใจและเปิดตัวเองต่อพระเจ้าและผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นคือ การพบพระเจ้าในเหตุการณ์และบุคคลต่างๆ ในแต่ละวัน “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40) เราจึงต้องตื่นเฝ้าและเตรียมพร้อมที่จะพบพระเจ้าในทุกเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้แหละคือ วิธีการที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวเพื่อพบกับพระเจ้าอีกครั้ง เมื่อวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเรามาถึง
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวาจาของพระเจ้าในอาทิตย์นี้ เป็นกำลังใจสำหรับเราคริสตชนในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความไว้ใจในพระเยซูเจ้า นายชุมพาที่แท้จริงของเรา โดยการติดตามและฟังเสียงเรียกของพระองค์ด้วยความเชื่อ เพราะพระองค์ทรงนำเราไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวสดและเลี้ยงดูเรา และจะทรงนำเรากลับสู่คอกแกะที่ปลอดภัย คือพระศาสนจักร เราจึงต้องพร้อมที่จะติดตามและพบพระองค์ทุกเวลา
พระเยซูเจ้าทรงกระตุ้นเตือนเราให้เตรียมพร้อมและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นั่นคือ ตื่นเฝ้าและเตรียมตัวให้พร้อมเหมือนคนใช้ที่ซื่อสัตย์ที่คอยนายกลับมา พระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำเช่นเดียวกับอับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ ที่เชื่อและไว้ใจพระเจ้าโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ และทำตามพระประสงค์ของพระองค์โดยไร้ข้อสงสัย ความเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการมองหาเครื่องหมายหรือหลักประกันความปลอดภัย เช่นนี้แหละคือ ความเชื่อที่แท้จริง
ที่สำคัญ ความเชื่อคริสตชนบอกเราว่า พระเยซูเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ทรงทำงานในตัวเรา ทรงนำทางและจัดการทุกอย่างเพื่อเรา ความเชื่อคริสตชนจึงตั้งมั่นอยู่ในพระเจ้า และเปิดประตูแห่งความเข้าใจในตัวเรา พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์และตรัสกับเราแต่ละคนให้รื้อฟื้นความเชื่อนี้ ด้วยการจุดตะเกียงและเติมน้ำมันแห่งความรักต่อเพื่อนพี่น้อง เพื่อให้ตะเกียงแห่งความเชื่อนี้ลุกโชนอยู่เสมอ จนถึงวันที่เราจะได้พบและอยู่กับพระองค์ตลอดไป
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
7 สิงหาคม 2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น