วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความร่ำรวยในสายพระเนตรพระเจ้า

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี C

บทอ่านที่ 1: ปญจ 1:2; 2:21-23
บทอ่านที่ 2: คส 3:1-5, 9-11
พระวรสาร: ลก 12:13-21

บทนำ

มีเรื่องเล่าว่า เจ้าของนาผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ตั้งใจจะตอบแทนผู้เช่านาที่เช่านาของตนเป็นเวลานาน โดยเสนอที่จะมอบที่นาแปลงหนึ่งให้ เนื้อที่ตามจำนวนที่ผู้เช่าสามารถไถได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 6 โมงเย็น ไถได้กี่ไร่จะแบ่งโฉนดมอบให้เป็นเจ้าของทันที ผู้เช่านาดีใจมากที่จะได้มีที่นาเป็นของตัวเองกับเขาเสียที เขาเริ่มเตรียมตัวด้วยการออกกำลังกายทุกวัน บำรุงร่างกายด้วยอาหารเสริมสุขภาพนานาชนิด และเครื่องดื่มชูกำลังที่โฆษณากันดาษดื่นทางโทรทัศน์ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับโอกาสอันดีที่มีผู้หยิบยื่นให้

ผู้เช่านาเฝ้ารอวันเวลาที่กำหนดอย่างใจจดใจจ่อ คืนก่อนถึงวันนัดหมาย เขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เพราะอีกไม่นานเขาจะได้เป็นเจ้าของที่นาแล้ว เมื่อวันนัดหมายมาถึง เขาเริ่มไถอย่างรีบเร่งโดยไม่ยอมหยุดเลย แม้ตอนเที่ยงวันยังไม่ยอมพักทานข้าว ด้วยกลัวว่าจะทำให้เสียเวลาไถนาได้น้อยเพียงไม่กี่ไร่ ยิ่งเห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงใกล้หกโมงเย็นยิ่งโหมหนัก เพราะคิดว่าหลังจากนี้เขาจะได้เป็นเจ้าของที่นาหลายสิบไร่แบบฟรีๆ โดยไม่ต้องจ่ายอะไร นอกจากแรงกายที่เขาทุ่มเทไถมาตั้งแต่เช้า

แต่แล้วสิ่งที่ผู้เช่านาไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ก่อนถึงเวลาหกโมงเย็นเล็กน้อย เขารู้สึกเสียวแปล๊บตรงหัวใจ เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยและสูญเสียน้ำในร่างกายในปริมาณมาก ทำให้เขาหัวใจวายเฉียบพลัน ล้มลง และสิ้นใจตาย ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของที่นาผืนใหญ่ตามที่เขามุ่งหวัง นอกจากที่ดินผืนเล็กๆ เพียงหนึ่งตารางวา เพื่อฝังร่างอันไร้วิญญาณของเขาเท่านั้น

พี่น้องที่รัก เราทำมาหาเลี้ยงชีพมาทั้งชีวิต แต่เวลาที่เราจบชีวิตลงเอาอะไรไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นไร่นาสาโท หรือทรัพย์สินเงินทอง ที่เราสู้อุตส่าห์เสาะแสวงหาด้วยความเหนื่อยยาก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีมีเงินร้อยล้าน พันล้าน แต่เมื่อตายลงก็เอาไปไม่ได้ อย่างมากลูกหลานอาจจับยัดใส่ปากเพียงไม่กี่บาทตามธรรมเนียมพอเป็นพิธี แม้ตอนมีชีวิตอยู่จะเป็นเจ้าของที่ดินหลายร้อยไร่ แต่เมื่อตายลงก็ได้เพียงหนึ่งตารางวาในสุสาน เพื่อฝังร่างของเรา

1. ความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์

พระวรสารวันนี้ เริ่มต้นจากสถานการณ์ที่มีชาวยิวคนหนึ่งมาขอร้องพระเยซูเจ้า ให้พูดกับพี่ชายเรื่องแบ่งมรดกแก่เขา ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวยิวจะไปปรึกษาปัญหากับรับบีที่เขานับถือ การมาหาพระเยซูเจ้า แสดงให้เห็นว่าเขาถือพระองค์เป็นรับบีคนหนึ่ง ซึ่งตามกฎหมายยิวระบุชัดว่า บุตรชายหัวปีจะได้มรดกสองในสามส่วนของบิดา ส่วนอีกหนึ่งส่วนเป็นของน้องชาย หรือแบ่งกันระหว่างบุตรคนอื่นที่เหลือ

ชายคนนั้นรู้กฎหมายดีอยู่แล้วแต่ไม่พอใจในส่วนแบ่งที่เขาได้รับ เนื่องจากเขาเป็นคนโลภจึงมาหาพระเยซูเจ้า แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจากพระองค์ ทำไมพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่สอนให้รักและพร้อมที่จะช่วยทุกคนจึงปฏิเสธที่จะช่วยเขา ความจริงพระเยซูเจ้าต้องการช่วยเขาให้มองไปที่ต้นตอของปัญหา หากท่านรักกันและกันเหมือนพี่น้อง และเข้าใจดีถึงคุณค่าของทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ท่านคงไม่ทะเราะกัน โดยทรงยกอุปมาเรื่อง “เศรษฐีโง่” ขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นทัศนคติที่พึงมีต่อ “ทรัพย์สมบัติและสิ่งของของโลกนี้”

เราเห็นชัดว่า ในหัวของเศรษฐีผู้นี้มีแต่ “ตัวเอง” ไม่มีที่ว่างสำหรับ “คนอื่น” ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงเตือนเราทุกคนว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด” (ลก 12:15) นักบุญเปาโลได้ขยายความว่า “การรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย” (1 ทธ 6:10) พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง” (มธ 16:24) และ สิ่งที่ท่านทำกับพี่น้องที่ต่ำต้อย ท่านทำกับเราเอง (มธ 25:40)

นี่คือ เหตุผลแรกที่พระเยซูเจ้าทรงตำหนิเศรษฐี ผู้ใช้ทรัพย์สมบัติด้วย “ความโลภ” เพราะมันเป็นรากเหง้าของความชั่ว ทำให้เขามองไม่เห็นความต้องการของเพื่อนพี่น้องด้วยกัน ประการที่สอง เศรษฐีใช้ทรัพย์สมบัติโดยไม่คำนึงถึง “โลกหน้า” แผนการของเขาคือ “รื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม... จะได้พักผ่อน กินดื่ม และสนุกสนาน” (ลก 12:18-19) เขาไม่ได้คิดหรือมองอะไรเกินเลยไปจากโลกนี้เลย

2. ความร่ำรวยในสายพระเนตรของพระเจ้า

ความต้องการทรัพย์สินเงินทองและการผูกติดกับความร่ำรวยทางวัตถุภายนอกที่มากเกินไป ทำให้เราตาบอด หลงคิดไปว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลและเราจะมีชีวิตที่ยืนยาว อันนำไปสู่ความหลงผิด ด้วยการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย กินดื่มอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งนี้เองที่ทำให้เรากลายเป็นทาสของวัตถุ ที่นำหายนะใหญ่หลวงมาสู่วิญญาณของเรา กระนั้นก็ดี พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระองค์ทรงอดทนและยังคงรักเรา

เศรษฐีโง่คนนั้น เฝ้ามองแต่ประโยชน์ที่เขาจะได้จากความร่ำรวยทางวัตถุ แต่ละเลยความหมายที่แท้จริงแห่งชีวิต คือ การอยู่กับพระเจ้า ซึ่งเป็นความร่ำรวยในสายพระเนตรของพระเจ้า “คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเอง ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็เป็นเช่นนี้” (ลก 12:21) เศรษฐีสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อใช้เอง และใช้อย่างเห็นแก่ตัว นั่นคือ “พักผ่อน กินดื่ม และสนุกสนาน”

ทุกวันนี้ มีผู้คนเป็นจำนวนมากคิดไม่ต่างไปจากเศรษฐีโง่คนนั้น เขาทำงานหนักเพื่อจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จะได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย มีมือถือรุ่นใหม่ มีรถยนต์ใช้ มีบ้านอยู่ ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ “ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า” ตรงกันข้าม การใช้ทรัพย์สินเงินทองอย่าง “พอเพียง” ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น แล้วแบ่งปันส่วนที่เหลือแก่ผู้ที่มีความจำเป็นและขัดสนมากกว่าคือ การสะสมทรัพย์สมบัติที่แท้จริงในสวรรค์ และเป็นคนร่ำรวยในสายพระเนตรของพระเจ้า

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจดีถึงสิ่งเหล่านี้ ในคำอุปมาพระองค์ไม่ได้ตำหนิทรัพย์สินเงินทองที่จำเป็นในชีวิต แต่ทรงตำหนิ “ความโลภ” ของเศรษฐีคนนั้น เขาเป็นคนร่ำรวยแต่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี ความโลภเป็นเหมือนไฟ ยิ่งใส่ฟืนเข้าไปมากเท่าใด ไฟยิ่งลุกโชนมากเท่านั้น ยิ่งคนที่มีใจโลภด้วยแล้ว ไม่มีวันพอสำหรับเขา

แม้ว่าเศรษฐีคนนั้นจะเป็นคนฉลาดตามมาตรฐานของโลก แต่สำหรับพระเยซูเจ้าเขาเป็นคนโง่ เพราะเขาละเลยและลืมสิ่งที่สำคัญ 3 ประการ นั่นคือ 1) เขาลืมพระเจ้า 2) ลืมคิดถึงชีวิตในโลกหน้า และ 3) ลืมคิดถึงเพื่อนพี่น้องที่ยากจนและขัดสน สำหรับคนใจโลภเช่นเขา เงินอาจซื้อทุกสิ่งได้ แต่ไม่อาจซื้อความสุขได้ เงินอาจนำพาเขาไปทุกแห่งในโลก แต่ไม่อาจพาเขาไปสวรรค์

เพื่อจะเป็นผู้มั่งมีในสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมาก เพียงแค่น้ำเย็นแก้วหนึ่งแก่ผู้รับใช้พระเจ้า หรือไปเยี่ยมเยียนคนเจ็บป่วย ผู้สูงอายุ หญิงหม้าย เด็กกำพร้า ฯลฯ เท่านี้เราก็ได้ทำต่อองค์พระเยซูเจ้าแล้ว นักบุญเปาโล ตระหนักในคำสอนนี้ จึงกล่าวว่า “การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ” (กจ 20:35) ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า เราอยากจะมั่งมีในโลกนี้แล้วยากจนในโลกหน้า หรืออยากมีสันติสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
31 กรกฎาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น