เก็บตกจากการเข้าเงียบ(ประจำปี)
การเข้าเงียบประจำปีของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ระหว่างวันที่ 8-12 พฤศจิกายน ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นที่ประทับใจทั้งผู้เทศน์ (คุณพ่อโจวันนี โครแปลลี) และผู้ฟังเทศน์ แม้ว่าวันแรกออกจะเข้มข้น ดูจริงจัง เนื้อหาล้วนๆ ตามแบบฉบับของกาปูชินที่มีความลึกซึ้งเรื่องชีวิตภายในอยู่แล้ว อีกทั้งผู้เทศน์ยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะภราดาน้อยกาปูชินด้วย
ดูเหมือนคุณพ่อโจวันนี ที่เรียกสั้นๆ ว่า “พ่อโจ” จะเป็นกังวลบ้าง แต่เมื่อวันแรกผ่านพ้นไป ทุกอย่างก็เริ่มผ่อนคลาย ประกอบกับการได้เริ่มรู้จักธรรมชาติของพระสงฆ์ท่าแร่ที่สบายๆ แม้ในเรื่องชีวิตจิตก็ชอบที่จะก้าวเดินไปทีละก้าวแบบค่อยเป็นค่อยไป จะมียกเว้นบ้างก็แต่พระคุณเจ้าจำเนียร (สันติสุขนิรันดร์) ที่ความร้อนรนเป็นที่ประจักษ์ หากการเป็นนักบุญคือเส้นชัยที่ต้องไปให้ถึง พระคุณเจ้าอยากไปถึงตั้งแต่เริ่มก้าวแรก
เมื่อได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น ทำให้ความเป็นศิลปินของพ่อโจได้แสดงออกอย่างเต็มที่ กีตาร์ตัวเล็ก (กว่าขนาดปกติ ซึ่งออกจะขัดแย้งกับเจ้าตัวซึ่งสูงโปร่ง หนวดเครายาว) จึงกลายเป็นเครื่องดนตรีที่ขาดไม่ได้ในการเริ่มต้นบทเทศน์ และสอนพวกเราให้ขับร้องบทเพลงเพื่อยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า ก่อนการเริ่มบทเทศน์แต่ละครั้ง
เรื่องเล่า หรือ “นิทานก้อม” ตามสำนวนของคุณพ่อสุรพงศ์ (นาแว่น) เริ่มได้ยินจากปากของพ่อโจบ้างเมื่อย่างเข้าสู่วันที่สองของการเข้าเงียบ ยิ่งเมื่อได้เห็นการตอบรับเป็นอย่างดี จึงมีเรื่องที่สอง ที่สามตามมา รวมถึงทำให้พวกเราได้รับทราบว่า สาเหตุที่กาปูชินไว้หนวดเครายาว เพื่อเป็นการถือความยากจน ไม่ติดยึดอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก ตามจิตตารมย์ของนักบุญฟรังซิสอัสซีซี ที่เน้นความงดงามจากภายใน
พ่อโจบอกว่า เอกลักษณ์ของกาปูชินนอกจากหนวดเครายาวแล้ว เคราต้องเป็นสีเหลืองซึ่งเกิดจากการกินซุบ ดูเหมือนเคราของพ่อโจจะเริ่มเป็นสีดอกเลา แต่ยังแลดูสวยงาม ขัดกับผมทรงสกินเฮดที่พ่อบอกว่าสร้างความคลางแคลงใจให้ผู้พบเห็นเสมอ เพราะมักจะถูกถามว่า “พระนิกายไหน” แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะพ่อบอกเสมอว่า ใจสำคัญมากกว่า
ที่สุด วันสุดท้ายของการเทศน์ก็มาถึง ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เสียดาย สามวันสั้นไป” รวมถึงพ่อโจที่กำลังสนุกกับการเทศน์ เป็นบรรยากาศที่คุณพ่อพูดเสมอว่า “ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน หากเทศน์ที่กรุงเทพฯ คงทำอย่างนี้ไม่ได้” วันสุดท้ายเราจึงได้ยินเรื่องราวชีวิตล้วนๆ ของคุณพ่อในบทเทศน์ สามสี่วันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ได้รู้จักพระสงฆ์ท่าแร่มากขึ้น รวมถึงพระคุณเจ้าจำเนียร ซึ่งไม่เหมือนกับที่ได้ยินมา คุณพ่อยืนยันเช่นนั้น (บางคนบอกว่า หากอยู่นานกว่านี้ความคิดอาจเปลี่ยนก็เป็นได้)
ไฮไลท์ของการเทศน์เข้าเงียบปีนี้ ดูเหมือนจะอยู่ที่ตอนจบของการเทศน์ ซึ่งพ่อโจได้สอนพวกเราให้ขับร้องบทเพลง “สันติภาพจากเบื้องบน” และแสดงท่าประกอบ โดยเลือกผู้นำอย่าง คุณพ่อสุพล (ยงบรรทม), คุณพ่อสุรพงศ์ (นาแว่น) และพระคุณเจ้า ออกไปเป็นต้นแบบในการแสดงท่าประกอบ ซึ่งเรียกเสียงฮาจากทุกคน
เนื้อหาของบทเพลงสันติภาพจากเบื้องบนมีดังนี้: สันติภาพ มาจากเบื้องบน เข้ามาสู่ดวงใจ และปรากฏบนใบหน้า ตอนนี้ ฉันจับมือเธออยู่นะ ฉันไม่ได้อยู่เดียวดาย เธอไม่ได้อยู่ห่างไกล..... ไกล (รับ)
1) สันติภาพแท้จริง จะพบได้ถ้าต้องการ นั่นคือพระเจ้า ในท่ามกลางพวกเรา (รับ)
2) มิตรภาพนี้ ที่ล้อมรอบองค์พระเจ้า เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และจะไม่มีวันสิ้นสูญ
ทุกครั้งที่ฮัมเพลงนี้ ก็จะนึกถึงดวงหน้าและแววตาอันเปี่ยมสุขและร่าเริงยินดีของพ่อโจ รวมถึงพรีเซนเตอร์ทั้งสามอย่างคุณพ่อสุพล, คุณพ่อสุรพงศ์ และพระคุณเจ้า บางคนยังนึกเสียดาย บอกว่าน่าจะเชิญคุณพ่อประยูร (พงษ์พิศ) ไปร่วมแสดงท่าประกอบอีกคน จะได้ครบองค์คณะ “ตราเด็กสมบูรณ์” กระนั้นก็ดี แค่นี้ก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของอัครสังฆมณฑลฯ แล้ว (ว่าอย่างนั้น)
บทสรุปที่ได้จากการแบ่งปันของแต่ละกลุ่ม จึงสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกประทับใจในบทเทศน์ที่มาจากชีวิตและการปฏิบัติของคุณพ่อ ที่ได้แสดงให้เห็นว่า พระคัมภีร์คือขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เสมอ ประการสำคัญ กระแสเรียกการเป็นสงฆ์ซึ่งเป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้า จะต้องได้รับการรื้อฟื้นทุกวัน โดยมีความรักเมตตาและการให้อภัยเครื่องนำทาง พระสงฆ์จะต้องเป็นเหมือนสะพานที่นำทุกคนมาหาพระเจ้า
ขอบคุณ “พ่อโจ” ด้วยจริงใจ สำหรับบทเทศน์และแบบอย่างชีวิตที่ดังยิ่งกว่าคำพูด จริงอย่างบทเพลงที่คุณพ่อสอน “มิตรภาพ... เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ และไม่มีวันสิ้นสูญ” คุณพ่อจะอยู่ในใจและคำภาวนาของพวกเรา ตลอดไป
DON DANIELE
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
14 พฤศจิกายน 2010
คุณพ่อโจวานนี่มีความสามารถมากในการเทศน์ ดูตัวอย่างจากที่ท่านเทศน์ที่โบสถ์พระแม่แล้ว สงสัยพ่อาต้องรีบเพิ่มลิมิตซะแล้ว
ตอบลบ