วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เสกสุสานที่นาบัว

 ชาวนาบัวกลับบ้านเสกสุสานและร่วมงานกีฬาสามัคคี


นาบัว ชาวนาบัวที่ไปทำงานต่างถิ่นเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อร่วมภาวนาอุทิศแก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับและเสกสุสาน พร้อมกับร่วมแข่งขันกีฬาสามัคคีแบบครอบครัว เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2010 ที่ผ่านมา

นาบัว เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ยังคงรักษาธรรมเนียมในการสมโภชนักบุญทั้งหลายและภาวนาแก่ผู้ล่วงลับในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน เป็นประจำทุกปี หลายหมู่บ้านได้เลื่อนการฉลองนี้ไปทำในวันเสาร์ที่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นวันหยุด เช่น ท่าแร่ แต่นาบัวยังคงรักษาธรรมเนียมนี้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อใกล้ถึงวันที่ 1-2 พฤศจิกายน ชาวนาบัวจะต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อร่วมงานดังกล่าว ทำให้นาบัวดูคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

กล่าวได้ว่า ช่วงวันที่ 1-2 พฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องได้พบหน้า พ่อแม่ได้เจอะเจอลูกหลานที่ไปทำงานต่างถิ่น เช่น กรุงเทพฯ หรือต่างประเทศ ซึ่งจำนวนชาวนาบัวที่เดินทางไปทำงานและตั้งหลักแหล่งในต่างประเทศนั้น อยู่ในอัตราที่สูงกว่าทุกหมู่บ้านในอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงก็ว่าได้ พระสงฆ์บางองค์ถึงกับกล่าวที่เล่นทีจริงถึงนาบัวว่าเป็น “สหประชาชาติ” เนื่องจากมี “เขยฝรั่ง” เยอะนั่นเอง

ความคึกคักของนาบัวเริ่มตั้งแต่คืนวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันปิดเดือนแม่พระแห่งสายประคำ มีการแห่พระรูปแม่พระรอบหมู่บ้านและพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ โดยคุณพ่อวีระชัย อุตะมะชะ ผู้อำนวยการศุนย์อบรมคริสตศาสนธรรมอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ในพิธีมิสซากลุ่มคริสตชนพื้นฐานของวัดนาบัวทั้ง 12 กลุ่มได้รับมอบเงินสวดเดือนแม่พระแห่งสายประคำ เพื่อสมทบทุน “โครงการบูรณะวัดไม้” ของวัด ซึ่งปีนี้ได้เงินทั้งหมด 47,873.- บาท (สี่หมื่นเจ็ดพันแปดร้อยเจ็ดสิบสามบาทถ้วน) เรียกได้ว่า ชาวนาบัวใจกว้างและใจใหญ่สำหรับพระเจ้าและวัดเสมอ

วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (1พฤศจิกายน) แม้อากาศจะหนาวแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับชาวนาบัวแต่อย่างใด ได้พากันมาเฉลิมฉลองนักบุญทั้งหลายกันอย่างพร้อมเพียง คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์ เจ้าอาวาส ได้เชิญชวนให้อ้อนวอนพระเจ้าผ่านทางนักบุญทั้งหลายและเลียนแบบอย่างนักบุญเหล่านี้ ในการเจริญชีวิตคริสตชนตามบทบาทหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ดีที่สุด ทำส่วนของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้มีบุญร่วมสุขกับพระเจ้าในอาณาจักรสวรรค์ ร่วมกับบรรดานักบุญทั้งหลายสักวันหนึ่ง

ตอนกลางคืน มีการจุดเทียนและภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับที่สุสาน ทำให้บรรยากาศของสุสานที่เคยเงียบสงัด สว่างสุกใสไปด้วยแสงเทียนที่ถูกจุดตามหลุมต่างๆ และคลาคล่ำไปด้วยพี่น้องชาวนาบัวที่เดินทางกลับมาบ้าน การภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับในคืนแรกนี้มีคุณพ่อวิมานใจ นาแว่น ผู้อำนวยการโรงเรียนเซนต์ยอแซฟมุกดาหาร เป็นประธานในพิธี

ส่วนเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน มีคุณพ่อสุรชาติ มุลสุทธิ อธิการบ้านเณาฟาติมาท่าแร่ เป็นประธานในพิธี โดยได้กล่าวชื่นชมชาวนาบัวที่สอนลูกหลานให้เห็นความสำคัญกับการระลึกถึงปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน วันเสกสุสานต้องพากันมา พร้อมทั้งหยิบยกเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม และภาวะน้ำท่วมที่หลายจังหวัดกำลังเผชิญอยู่ โดยชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงต้องการตีสอนประเทศไทยให้รู้จักสามัคคีกัน ชาวนาบัวจะต้องมีสีเดียวคือ “สีมัคคา” นั่นคือ “สามัคคี”

ตอนเที่ยงวันเดียวกันได้มีการรับประทานอาหารร่วมกัน โดยได้รับการสนับสนุนวัวหนึ่งตัวจากครอบครัว “พิมพการ” สำหรับเป็นอาหารเลี้ยงชาวนาบัว ตอนบ่ายมีการแข่งขันกีฬาและการละเล่นต่างๆ เพื่อเชื่อมความสมัครสมานสามัคคีทั้งสองหมู่บ้าน โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้ต่อมและทีมงานจากประเทศสาธารณรัฐเช็ค และการบรรเลงของ "บัวทองกองยาว" ทำให้งานเสกสุสานในปีนี้มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเจ้ต่อมและทีมงานทุกคน รวมถึงคณะกรรมสภาอภิบาลและกรรมการหมู่บ้าน ที่ช่วยกันจัดเตรียมงานทุกอย่างให้สำเร็จไปด้วยดี ขอพระเจ้าอวยพรและตอบแทนทุกท่านทุกคน

DON DANIELE รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
3 พฤศจิกายน 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น