มลค 4:1-2ก
2 ธส 3:7-12
ลก 21:5-19
บทนำ
ปลายปีที่แล้ว (2009) ได้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อ “2012 วันสิ้นโลก” เป็นภาพยนตร์แนวหายนะเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ที่นำเสนอปรากฏการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ในโลก โดยชี้ให้เห็นว่ามหันตภัยที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่จุดจบของโลกตามปฏิทินของชาวมายา ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) อันเป็นวันสิ้นสุดของเวลาตามปฏิทินของชาวมายา
ชาวมายาเป็นชนเผ่าโบราณในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล เป็นชนชาติที่มีความเป็นเลิศด้านการคำนวณและดาราศาสตร์ การกำหนดวันสิ้นสุดของโลกตามปฏิทินของพวกเขาในวันดังกล่าว ได้กลายเป็นจุดขายให้บริษัทโคลัมเบียพิคเจอร์นำไปสร้างภาพยนตร์ โกยเงินเข้ากระเป๋า และก่อให้เกิดกระแสเรื่อง “อวสานของโลก” ให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง
ความจริง กระแสเรื่องวันสิ้นโลกมีมาช้านานแล้ว หากเรายังจำกันได้ก่อนเข้าสู่ปี ค.ศ. 2000 คนทั่วโลกต่างหวาดกลัวกันมากว่าอวสานของโลกได้มาถึงแล้ว เพราะ “นอสตราดามุส” ได้ทำนายเอาไว้ว่าความพินาศจะเกิดขึ้นกับโลกในปี ค.ศ. 2000 จะเกิดมหันตภัยร้ายแรง เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์ และสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ฟังดูน่าสะพรึงกลัว แต่โลกยังอยู่มาถึงทุกวันนี้
ในสัปดาห์ก่อนสุดท้ายของปีพิธีกรรมของพระศาสนจักร เป็นช่วงเวลาที่พระศาสนจักรเรียกร้องให้เราได้พิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับการพิพากษาครั้งสุดท้าย การสิ้นสุดของโลกและของมนุษย์แต่ละคน พระคัมภีร์บอกเราว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เวลาใด แต่ที่เรารู้อย่างแน่นอนไม่มีใครปฏิเสธคือ วาระสุดท้ายของเราในโลกจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อเราจบชีวิต (ตาย)
1. วาระสุดท้ายและวันของพระเจ้า
ประกาศกมาลาคีเห็นถึงความอยุติธรรมในสังคมที่อยู่รอบตัวท่าน และได้พูดถึง “วันของพระเจ้า” ที่จะมาถึง ซึ่งเป็นวันที่พระยุติธรรมของพระเจ้าจะฉายแสง อันเป็นความหวังสำหรับประชากรอิสราแอลในพันธสัญญาเก่าที่ถูกกดขี่และเอารัดเอาเปรียบว่า ที่สุดแล้วพวกเขาจะได้รับความยุติธรรมจากพระเจ้าเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เป็นการให้กำลังใจพวกเขาที่กำลังทนทุกข์ให้มีกำลังใจและความหวัง ไม่มีใครทราบว่าวาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงเมื่อไร แต่วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน
ต่อมาภายหลังได้ประยุกต์ความคิดเกี่ยวกับวาระสุดท้ายและวันของพระเจ้ากับ “การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า” ผู้ทรงเป็นดวงอาทิตย์แห่งความยุติธรรม ตามความเชื่อที่เราประกาศทุกอาทิตย์ว่า “พระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย” อันเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรนิรันดรของพระเจ้า และเป็นความหวังสำหรับเราคริสตชนในปัจจุบัน
นักบุญเปาโลและคริสตชนในระยะเริ่มแรกเข้าใจว่า วันของพระเจ้าและการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า บางคนจึงอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่คิดจะทำอะไร แต่นักบุญเปาโลได้เตือนสติพวกเขาไม่ให้ตื่นตระหนก แต่ให้ทำงานอย่างสงบ ทำให้โลกนี้เป็นบ้าน (ชั่วคราว) ที่น่าอยู่สำหรับตัวเราเอง และสำหรับเพื่อนพี่น้องของเรา เหมือนอย่างที่ท่านได้ทำเป็นตัวอย่าง ไม่ยอมเป็นภาระแก่ใคร และได้กำชับว่า “ถ้าใครไม่อยากทำงานก็อย่ากิน” เพราะมีบางคนไม่ยอมทำอะไร แต่ชอบไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของคนอื่น
ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงสอนถึงการสิ้นสุดของโลกและของมนุษย์แต่ละคน โดยโยงไปถึงการล่มสลายของพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ที่ทรงเห็นล่วงหน้าถึงจุดจบที่น่าอนาถ พระองค์ไม่ทรงต้องการให้มนุษย์กังวลถึงการสิ้นสุดของโลก แต่ทรงสอนให้เตรียมตัวไปถึงเวลานั้นด้วยความเชื่อและความซื่อสัตย์ พระองค์ได้ให้ความมั่นใจกับเราว่าจะอยู่กับเราตลอดไป (มธ 28:20) แม้ว่าร่างกายจะต้องถึงจุดจบในรูปแบบต่างๆ กัน แต่ความเชื่อและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจะนำวิญญาณเราไปสู่ความรอด
2. ความหมายสำหรับเรา
เราไม่ทราบว่าวาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงเมื่อไหร่ อีกทั้งไม่รู้วันตายของเราด้วย แต่เราแน่ใจว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงอย่างแน่นอน ชาวอเมริกันตะวันตกมีสุภาษิตบทหนึ่งว่า “เขาตายพร้อมกับรองเท้าบูทของเขา” (He died with his boots on.) นั่นหมายความว่า บุคคลนั้นตายขณะกำลังทำหน้าที่ เขาได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าจนถึงวาระสุดท้ายในโลก ให้เราได้คิดถึงพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “จงรักซึ่งกันและกัน” “จงมีความเมตตากรุณาเหมือนที่พระบิดาทรงมี” “จงให้อภัยซึ่งกันและกันด้วยใจกว้าง” นี่คือ การวางแผนที่จะตายพร้อมกับรองเท้าบูทด้วยการเดินตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า
ข่าวดีที่พระเยซูเจ้าต้องการจะบอกเราคือ เราจะต้องไม่กลัวการสิ้นโลก หรือการจบชีวิตจากโลกนี้ หากเราได้ดำเนินชีวิตอย่างชื่อสัตย์และทำหน้าที่ของเราอย่างดีและรับผิดชอบ เราจะต้องไม่ตื่นตระหนกเพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษาเราด้วยความเมตตากรุณา และนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร นักบุญเปาโลบอกเราว่า “หากเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้า เราจะกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์” เหตุการณ์และภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือเครื่องหมายที่บอกให้รู้ว่าวาระสุดท้ายกำลังมาถึง แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต
ประกาศกมาลาคีได้แสดงให้เห็นว่า ใครที่ทำหน้าที่ในแต่ละวันเพื่อเห็นแก่เพื่อนพี่น้อง และได้ต่อสู้เพื่อรักษาความเชื่อและความหวังในการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เขาจะไม่มีความหวาดกลัวเมื่อเห็นภัยพิบัติและหายนะต่างๆ วาระสุดท้ายจะยังมาไม่ถึงทันที พระเยซูเจ้ายืนยันชัดเจนว่า ไม่มีใครทราบว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาเมื่อไหร่ ดังนั้น สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการเป็นพยานถึงความเชื่อคริสตชนของเรา แม้ในห้วงเวลาของความทุกข์ลำเค็ญ ด้วยการรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วยความเพียรทน
บทสรุป
พี่น้องที่รัก แน่นอนว่าโลกจะถึงกาลอวสานในวันหนึ่ง ซึ่งมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้วันเวลาที่แน่ชัด สิ่งที่เราควรกระทำคือ ใช้วันเวลาที่เรามีให้เกิดประโยชน์สำหรับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง เชื่อและไว้ใจพระเมตตาและคำสัญญาแห่งรักขององค์พระเจ้าผู้ได้สิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายเพื่อเรา และเมื่อวาระสุดท้ายของเรามาถึง เราจะพร้อมที่จะไปพบพระองค์
เราจะต้องไม่กลัวและกังวลใจถึงอนาคต แต่จะต้องใส่ใจในปัจจุบัน ขณะนี้ เวลานี้ นักบุญเปาโลได้เตือนชาวเธสะโลนิกาและเราแต่ละคนให้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ รับผิดชอบต่อผู้อื่น ไม่ใช่อยู่เฉยๆ โดยไม่ทำงานหรือชอบไปยุ่งเรื่องของคนอื่น สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เวลาปัจจุบันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
เราถูกเรียกร้องให้แสวงหาและพบพระเจ้าในทุกสิ่ง ในบุคคลแต่ละคน ในทุกสถานที่ และทุกสถานการณ์ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราคือการเตรียมตัวเผชิญกับวาระสุดท้ายของโลกและของชีวิตเรา ด้วยการรักและรับใช้พระเจ้าในผู้อื่นในทุกช่วงเวลาของชีวิตในแต่ละวัน ด้วยความไว้ใจในพระเจ้าและด้วยความเพียรทนจนถึงวาระสุดท้าย
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
สำนักมิสซังท่าแร่-หนองแสง12 พฤศจิกายน 2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น