http://dondaniele.blogspot.com/2010/11/blog-post.html
ในหัวเรื่อง "นักบุญทั้งหลายของพระเจ้า" ส่วนวัดไหนที่สมโภชนักบุญทั้งหลายตรงวัน คือวันที่ 1 พฤศจิกายน สามารถติดตามบทเทศน์ของสัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา ได้ตามปกติ ซึ่งบทเทศน์นี้ได้ใช้ในมิสซาหน้าศพ ของ เทเรซาแก้วประทาน มะหัตกุล มารดาของซิสเตอร์รัตนากร มะหัตกุล ที่นาโพธิ์ วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน ด้วย
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา ปี C
2 มคบ 7:1-2, 9:14
2 ธส 2:16; 3:5
ลก 20:27-28
ซิสเตอร์โรซาแห่งลีมา รัตนากร มะหัตกุล บุตรสาวของ เทเรซาแก้วประทาน มะหัตกุล |
บทนำ
มีหญิงคนหนึ่งเป็นทุกข์หนักเพราะลูกชายคนเดียวตาย เธอแบกศพลูกชายไปหาพระพุทธเจ้าขอให้ชุบชีวิตขึ้นมา พระพุทธองค์จึงบอกหญิงคนนี้ให้ไปหาเมล็ดผักจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย พบเมื่อไหร่จะชุบชีวิตลูกให้ หญิงผู้น่าสงสารเดินไปทุกบ้าน เธอถามก่อนว่าบ้านนี้เคยมีคนตายไหม (เพื่อจะขอเมล็ดพันธุ์จากบ้านที่ไม่มีคนตายตามที่พระพุทธเจ้าบอก) คำตอบที่ได้รับคือ “มี” ทุกคนล้วนเคยผ่านความเศร้าโศกเสียใจจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและผูกพันมาแล้วทั้งสิ้น
เธอกลับมาหาพระพุทธเจ้าอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า พร้อมกับคำตอบที่ว่า “ไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่เคยมีคนตาย” พระพุทธองค์จึงเทศนาธรรมให้หญิงคนนั้นเข้าใจว่า ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้น “ความตาย” ไปได้ นี่คือ สัจธรรมแห่งชีวิตที่ไม่มีใครหลีกพ้น ความตายจึงกลายเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาเป็นเวลาช้านานว่า ทุกอย่างจบสิ้นไปพร้อมกับความตาย หรือยังมีอีกชีวิตหนึ่งหลังความตาย
อาจเป็นเพราะการได้คุยกับผู้คนตามบ้านต่างๆ ได้รับรู้ความทุกข์โศกจากคนที่ผ่านการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมาเหมือนกัน จากเดิมที่เคยคิดว่าตนเองมีความทุกข์มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเข้าใจว่า ทุกคนล้วนผ่านความทุกข์เช่นนี้มาแล้วทั้งสิ้น แม้ “ความทุกข์” ของเธอยังคงเดิม แต่ “ความเศร้าโศก” ของเธอลดลง เพราะเมื่อได้เทียบเคียงกับคนอื่นแล้ว ความทุกข์ของเธอไม่ได้ใหญ่กว่าใครเลย โลกใบนี้ยังมีคนที่มีความทุกข์มากกว่าเรามากมายนัก
บรรดาลูกๆ และหลานของ เทเรซาแก้วประทาน มะหัตกุล |
1. ชีวิตและความตาย
ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและความหมาย นับตั้งแต่มนุษย์ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาจนถึงเวลาที่ลืมตามาดูโลก และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องใช้เวลา ความเพียรทนในการอบรมเลี้ยงดู สูญเสียเงินและทรัพยากรเป็นจำนวนมาก คุณค่าของชีวิตแสดงออกในความต้องการกินอาหารเพื่อจะเจริญเติบโต ต้องการพักผ่อนเพื่อเสริมสร้างพลังใหม่ ต้องการศึกษาเล่าเรียนเพื่อแสวงหาความรู้ ต้องการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ต้องการความสนุกสนานเพื่อความรื่นรมย์แห่งชีวิต
สำหรับเราคริสตชน ชีวิตมีคุณค่าและความหมายมากกว่านั้น เพราะชีวิตเป็นของประทานจากพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างเรามาตามฉายาของพระองค์ ให้มีความคิด สติปัญญาและน้ำใจอิสระที่จะดำเนินชีวิตตามที่ตนต้องการ เราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” แต่สำหรับเราคริสตชน ค่าของคนอยู่ที่การเป็นคนของใคร คือ “การเป็นคนของพระเจ้า” ซึ่งพระองค์ได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเรา นำเรากลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอีกครั้ง
คำถามที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยพิจารณาแสวงหาคำตอบตลอดมาคือ ชีวิตมาจากไหน เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และตายแล้วจะไปไหน สำหรับเราคริสชนชัดเจนว่า ชีวิตมาจากพระเจ้า พระเจ้าคือบ่อเกิดและที่มาแห่งชีวิตและเป้าหมายสุดท้ายของเรา เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในความรักต่อกัน ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา ชีวิตในโลกนี้จึงเป็นเหมือนกับการเดินทางเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสุดท้ายนี้ คือการอยู่กับพระเจ้า ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความตายคือ “กุญแจทองที่เปิดไปสู่พระราชวังแห่งนิรันดร” (Death is the golden key that opens to the palace of eternity: Milton)
พิธีมิสซาหน้าศพคืนแรก โดย คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์ เจ้าอาวาสวัดนาบัว |
2. ชีวิตหลังความตาย
เราเพิ่งจะสมโภชนักบุญทั้งหลายและภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของเราถึงชีวิตหลังความตาย ซึ่งเรา “ผู้เป็น” ที่กำลังเดินทางอยู่ในโลกนี้ ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกับ “ผู้ตาย” ที่ล่วงหน้าเราไปแล้ว ในสายสัมพันธ์แห่งความรัก ผ่านทางการภาวนาและในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณที่เราระลึกถึงกัน ความตายจึงเป็นเหมือนประตูที่เปิดไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวนี้เริ่มแล้วตั้งแต่เวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่าในอาณาจักรของพระเจ้านั้น มนุษย์จะได้เข้าร่วมในครอบครัวใหม่ที่ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน พระองค์ทรงยืนยันความจริงนี้จากเหตุการณ์ตอนที่มีคนมาบอกว่า มารดาและพี่น้องของพระองค์มารอพบและพระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” (ลก 3:35) คำถามที่พวกสะดูสีตั้งปัญหาถามพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระและไม่มีความหมายแต่ประการใด
เราจะมีบุญได้อยู่กับพระเจ้าหรือไม่ขึ้นอยู่ที่การดำเนินชีวิตในโลกนี้ คำกล่าวที่ว่า “ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” เป็นความจริงทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความรักต่อกันตามแบบอย่างขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์จะไม่ถามว่า “เราได้ทำอะไรมาบ้าง” แต่จะถามว่า “เราได้รักเพื่อนพี่น้องของเรามากน้อยแค่ไหน” นี่คือ บุญกุศลที่เราต้องสร้างเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะติดตัวเราไปตลอด และมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นหลักประกันสำหรับการเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ อันเป็นบ้านแท้นิรันดรและเป้าหมายสุดท้ายของเราแต่ละคน ประการสำคัญ ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขอกันไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง
ซิสเตอร์คณะรักกางเขนแห่งท่าแร่ ที่มาร่วมมิสซาหน้าศพ |
บทสรุป
พี่น้องที่รัก สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า ไม่ใช่อายุที่ยืนยาว แต่อยู่ที่สิ่งที่เรากระทำ เราจึงควรตระหนักถึงชีวิตที่เรามีอยู่ และใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการประกอบคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล เป็นต้นในความรักต่อกัน “อยู่ให้เขารัก และจากไปให้เขาคิดถึง” หากเราได้พยายามดำเนินชีวิตในความรักนี้ ได้ทำหน้าที่ของเราที่พระเจ้าได้มอบหมายอย่างสุดความสามารถ ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างในความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ก็แน่ใจได้ว่าเราจะได้รับรางวัลตามที่พระองค์ทรงสัญญา
พระเยซูเจ้าได้ให้ความมั่นใจแก่เราถึงชีวิตหลังความตาย ด้วยการชนะบาปและความตาย โดยทรงกลับคืนพระชนม์ชีพเป็นความหวังสำหรับเราว่า ใครที่ตายพร้อมกับพระองค์ จะมีส่วนในการกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์ และร่วมส่วนในชีวิตและเกียรติมงคลของพระเจ้าในสวรรค์ ขอพระเจ้าโปรดให้เราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ให้ตระหนักในพระพรและความรักของพระองค์ และดำเนินชีวิตในความรักต่อกัน ในการให้อภัยความผิดของกันและกัน เพื่อว่าเมื่อวาระสุดท้ายของเรามาถึง เราจะมีบุญได้อยู่กับพระองค์ ตลอดไป
คุณพ่อวรวุทธ สังขะรัตน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนองบัวทอง |
ซิสเตอร์ สังวาลย์ เนืองทอง (กลาง) พี่ใหญ่ของน้องๆ ลูกวัดนาโพธิ์ |
คุณพ่อสมยศ เทพสมุทร จิตตาธิการคณะรักกางเขนแห่งท่าแร่ |
คุณพ่อไมเกิ้ล ฮูตาบารัท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนองบัวทอง |
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว5 พฤศจิกายน 2010
ขอบคุณ PSN Studio ที่เอื้อเฟื้อภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น