วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความโลภของมนุษย์


ความโลภของมนุษย์

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา
ปี C
ปญจ 1:2; 2:21-23
คส 3:1-5, 9-11
ลก 12:13-21

บทนำ

มีเรื่องเล่าว่า เจ้าของนาผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ตั้งใจจะตอบแทนผู้เช่านาที่เช่านาของตนเป็นเวลานาน โดยเสนอที่จะมอบที่นาแปลงหนึ่งให้ เนื้อที่ตามจำนวนที่ผู้เช่าสามารถไถได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 6 โมงเย็น ไถได้กี่ไร่จะออกโฉนดมอบให้เป็นเจ้าของทันที ผู้เช่านาดีใจมากที่จะได้มีที่นาเป็นของตัวเองกับเขาเสียที เขาเริ่มเตรียมตัวด้วยการออกกำลังกายทุกวัน บำรุงร่างกายด้วยอาหารเสริมสุขภาพนานาชนิด และเครื่องดื่มชูกำลังที่โฆษณากันดาษดื่นทางโทรทัศน์ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับโอกาสอันดีที่มีผู้หยิบยื่นให้

ผู้เช่านาเฝ้ารอวันเวลาที่กำหนดอย่างใจจดใจจ่อ คืนก่อนถึงวันนัดหมาย เขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เพราะอีกไม่นานเขาจะได้เป็นเจ้าของที่นาแล้ว เมื่อวันนัดหมายมาถึง เขาเริ่มไถอย่างรีบเร่งโดยไม่ยอมหยุดเลย แม้ตอนเที่ยงวันยังไม่ยอมพักทานข้าว ด้วยกลัวว่าจะทำให้เสียเวลาไถนาได้น้อยเพียงไม่กี่ไร่ ยิ่งเห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงใกล้หกโมงเย็นยิ่งโหมหนัก เพราะคิดว่าหลังจากนี้เขาจะได้เป็นเจ้าของที่นาหลายสิบไร่แบบฟรีๆ โดยไม่ต้องจ่ายอะไร นอกจากแรงกายที่เขาทุ่มเทไถมาตั้งแต่เช้า

แต่แล้วสิ่งที่ผู้เช่านาไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ก่อนถึงเวลาหกโมงเย็นเล็กน้อย เขารู้สึกเสียวแปล๊บตรงหัวใจ เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยและสูญเสียน้ำในร่างกายในปริมาณมาก ทำให้เขาหัวใจวายเฉียบพลัน ล้มลง และสิ้นใจตาย ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของที่นาผืนใหญ่ตามที่เขามุ่งหวัง นอกจากที่ดินผืนเล็กๆ เพียงหนึ่งตารางวา เพื่อฝังร่างอันไร้วิญญาณของเขาเท่านั้น

เรื่องนี้สะท้อนความจริงว่า เราทำมาหาเลี้ยงชีพมาทั้งชีวิต แต่เวลาที่เราจบชีวิตลงเอาอะไรไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นไร่นาสาโท หรือทรัพย์สินเงินทอง ที่เราสู้อุตส่าห์เสาะแสวงหาด้วยความเหนื่อยยาก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีมีเงินร้อยล้านพันล้าน แต่เมื่อตายลงก็เอาไปไม่ได้ อย่างมากลูกหลานอาจจับยัดใส่ปากเพียงไม่กี่บาทตามธรรมเนียมพอเป็นพิธี แม้ตอนมีชีวิตอยู่จะเป็นเจ้าของที่ดินหลายร้อยไร่ แต่เมื่อตายลงก็ได้เพียงหนึ่งตารางวาในสุสาน เพื่อฝังร่างของเรา

1.     ความโลภของมนุษย์

พระวรสารวันนี้ เริ่มต้นจากสถานการณ์ที่มีชาวยิวคนหนึ่งมาขอร้องพระเยซูเจ้า ให้พูดกับพี่ชายเรื่องแบ่งมรดกแก่เขา ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวยิวจะไปปรึกษาปัญหากับรับบีที่เขานับถือ การมาหาพระเยซูเจ้า แสดงให้เห็นว่าเขาถือพระองค์เป็นรับบีคนหนึ่ง ซึ่งตามบทบัญญัติของโมเสสระบุชัดว่า บุตรชายหัวปีจะได้มรดกสองในสามส่วนของบิดา ส่วนอีกหนึ่งส่วนเป็นของน้องชาย หากมีบุตรมากกว่าสองคน บุตรชายหัวปีจะได้มรดกสองเท่าของบุตรคนอื่น (ฉธบ 21; 15-17, กดว 27: 8-11, 36: 7-9)

ชายคนนั้นรู้กฎหมายดีอยู่แล้วแต่ไม่พอใจในส่วนแบ่งที่เขาได้รับ เนื่องจากเขาเป็นคนโลภจึงมาหาพระเยซูเจ้า แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจากพระองค์ ทำไมพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่สอนให้รักและพร้อมที่จะช่วยทุกคนจึงปฏิเสธที่จะช่วยเขา ความจริงพระเยซูเจ้าต้องการช่วยเขาให้มองไปที่ต้นตอของปัญหา หากท่านรักกันและกันเหมือนพี่น้อง และเข้าใจดีถึงคุณค่าของทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ท่านคงไม่ทะเลาะกัน โดยทรงยกอุปมาเรื่อง เศรษฐีโง่ ขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นทัศนคติที่พึงมีต่อ ทรัพย์สมบัติและสิ่งของในโลกนี้

เราเห็นชัดว่า ในหัวของเศรษฐีผู้นี้มีแต่ ตัวเอง ไม่มีที่ว่างสำหรับ คนอื่น มีพูดถึงแต่ “ฉัน” และ “ของฉัน” ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงเตือนเราทุกคนว่า จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด (ลก 12:15) นักบุญเปาโลได้ขยายความว่า การรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ (1 ทธ 6:10) ดังสุภาษิตโรมันที่ว่า “เงินเป็นเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมากยิ่งกระหายมาก” พระเยซูเจ้าจึงสอนว่า ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง (มธ 16:24) และ “สิ่งที่ท่านทำกับพี่น้องที่ต่ำต้อย ท่านทำกับเราเอง” (มธ 25:40)

นี่คือ เหตุผลแรกที่พระเยซูเจ้าทรงตำหนิเศรษฐี ผู้ใช้ทรัพย์สมบัติด้วย ความโลภ เพราะมันเป็นรากเหง้าของความชั่ว ทำให้เขามองไม่เห็นความต้องการของเพื่อนพี่น้องด้วยกัน เขาถูกครอบงำด้วยทรัพย์สมบัติจนไม่มีที่ว่างสำหรับพระเจ้าในจิตใจ ประการที่สอง เศรษฐีใช้ทรัพย์สมบัติโดยไม่คำนึงถึง “โลกหน้า” แผนการของเขาคือ รื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม... จะได้พักผ่อน กินดื่มและสนุกสนาน (ลก 12:18-19) เขาไม่ได้คิดหรือมองอะไรเกินเลยไปจากโลกนี้เลย ดังนั้น บาปของเขามิใช่การทำชั่ว แต่เป็นการละเลยที่จะทำความดี เขาจึงมิใช่คนมั่งมีในสายพระเนตรของพระเจ้า แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากก็ตาม

2.     บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิต

ประการแรก เราต้องแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น คำอุปมาเรื่องเศรษฐีโง่เตือนใจเราว่า สิ่งต่างๆ ที่เรามีล้วนแล้วแต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งต้องใช้ให้เกิดประโยชน์มิใช่สำหรับตัวเราเองเท่านั้น แต่สำหรับผู้อื่นด้วย ดังนั้น เราต้องมีจิตใจกว้างที่จะแบ่งปันกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเวลา ทรัพย์สินและความสามารถพิเศษต่างๆ ที่เรามี คำอุปมาเชื้อเชิญเราให้แบ่งปันพระพรต่างๆ เหล่านี้กับผู้อื่น และใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อความดีส่วนรวม เป็นต้น คนที่ยากจนขัดสน คนด้อยโอกาสและต้องการความช่วยเหลือ

ประการที่สอง เราต้องรู้จักควบคุมความโลภในตัวเอง ความโลภในตัวเรามีหลายรูปแบบ บางครั้งอาจเป็นการความต้องการอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียง และการยกย่องจากผู้อื่น บางครั้งเป็นความต้องการกินดื่ม การพนัน ยาเสพติดและความมักมากในกาม ความโลภเหล่านี้ทำให้ตัวเราถอยห่างจากพระเจ้าและการรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก ทำให้เรากลายเป็นทาสของวัตถุที่นำหายนะมาสู่วิญญาณของเรา กระนั้นก็ดี พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระองค์ทรงอดทนและยังคงรักเรา

ประการที่สาม เราต้องเป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า เศรษฐีโง่เฝ้ามองแต่ประโยชน์ที่เขาจะได้จากความร่ำรวยทางวัตถุ แต่ละเลยความหมายที่แท้จริงแห่งชีวิตคือ การอยู่กับพระเจ้า เขาสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อใช้เองและใช้อย่างเห็นแก่ตัว นั่นคือ พักผ่อน กินดื่มและสนุกสนาน ทุกวันนี้ มีผู้คนเป็นจำนวนมากคิดแบบเศรษฐีโง่คนนั้น เราต้องรู้จักใช้ทรัพย์สินเงินทองอย่าง พอเพียง” ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น แล้วแบ่งปันส่วนที่เหลือแก่ผู้ที่มีความจำเป็นและขัดสน นี่คือ การสะสมทรัพย์สมบัติที่แท้จริงในสวรรค์ และเป็นคนร่ำรวยในสายพระเนตรของพระเจ้า

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจดีถึงสิ่งเหล่านี้ ในคำอุปมาพระองค์มิได้ตำหนิทรัพย์สินเงินทอง แต่ตำหนิ “ความโลภ” ของเศรษฐีคนนั้น เขาเป็นคนร่ำรวยแต่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี แม้เขาจะเป็นคนฉลาดตามมาตรฐานของโลก แต่สำหรับพระเยซูเจ้าเขาเป็นคนโง่ เพราะละเลยและลืมสิ่งที่สำคัญ 3 ประการ นั่นคือ 1) ลืมพระเจ้า 2) ลืมคิดถึงชีวิตในโลกหน้า และ 3) ลืมคิดถึงเพื่อนพี่น้องที่ยากจนและขัดสน

สำหรับเศรษฐี เงินอาจซื้อทุกสิ่งได้ แต่ไม่อาจซื้อความสุขได้ เงินอาจนำพาเขาไปทุกแห่งในโลก แต่ไม่อาจพาเขาไปสวรรค์ เพื่อจะเป็นผู้มั่งมีในสวรรค์ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมาก เพียงแค่น้ำเย็นแก้วหนึ่งแก่ผู้รับใช้พระเจ้า หรือไปเยี่ยมเยียนคนเจ็บป่วย ผู้สูงอายุ หญิงหม้าย เด็กกำพร้า ฯลฯ เท่านี้เราก็ได้ทำต่อองค์พระเยซูเจ้าแล้ว นักบุญเปาโล ตระหนักในคำสอนนี้จึงกล่าวว่า การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ (กจ 20:35) ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า เราอยากจะมั่งมีในโลกนี้แล้วยากจนในโลกหน้า หรืออยากมีสันติสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
31 กรกฎาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น