อคติและความใจแคบ
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่
4
เทศกาลธรรมดา
ปี
C
|
ยรม 1:4-5,
17, 18-19
1 คร 12:31-13:13
ลก 4:21-30
|
บทนำ
เล่ากันว่า พระสังฆราชพื้นเมืององค์แรกของประเทศไนจีเรีย
ได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรับการต้อนรับจากประชาชน
ภายหลังที่ได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช เวลานั้นชาวไนจีเรียยังขาดการศึกษา มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเชื่อคริสตชนและอำนาจของพระสังฆราช
พวกเขาได้มารวมตัวกันเพื่อต้อนรับพระสังฆราชใหม่อย่างยิ่งใหญ่
ในการกล่าวต้อนรับประชาชนได้แสดงให้เห็นถึงความสุขและความชื่นชมยินดี
ที่คนหนึ่งในบรรดาลูกหลานของพวกเขาได้รับตำแหน่งสูง สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรง
(มีอำนาจในการต่อรองกับพระเจ้าได้) พวกเขาสัญญากับพระสังฆราชใหม่ว่า
พวกเขาจะถือปฏิบัติตามคำสอนของคริสตศาสนาตลอดไป
หากพระสังฆราชได้ใช้อำนาจยกเลิกบทบัญญัติข้อหนึ่งในสิบประการสำหรับพวกเขา
ก่อนที่พวกเขาจะบอกว่าบทบัญญัติข้อใดที่พวกเขาต้องการให้ยกเลิก
พระสังฆราชหนุ่มได้กล่าวตัดบทว่า “บทบัญญัติสิบประการเป็นบัญญัติของพระเจ้า
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
ผู้ที่มาร่วมต้อนรับต่างรู้สึกผิดหวังและแสดงออกอย่างเย็นชากับพระสังฆราชของตน
จนพระสังฆราชต้องรีบเดินทางออกจากบ้านเกิดของตน
ในพระวรสารวันนี้เราจะได้ยินประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันของพระเยซูเจ้า
กับชาวเมืองนาซาเร็ธบ้านเกิดของพระองค์
1.
อคติและความใจแคบ
พระวรสารของวันนี้กล่าวถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้า
กับสถานการณ์ที่ตึงเครียดในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธ สถานที่ซึ่งพระองค์เคยเจริญวัย ชาวนาซาเร็ธไม่ต้อนรับพระองค์และปฏิเสธที่จะฟังพระองค์
ทั้งนี้เพราะอคติและจิตใจที่คับแคบของพวกเขา ที่คิดว่าพระองค์เป็นแค่ลูกของช่างไม้ยากจนที่ชื่อโยเซฟ
และมีแม่ชื่อมารีย์หญิงชาวบ้านที่ไม่มีอะไร แล้วพระองค์ได้ปรีชาญาณนี้มาจากไหน
พวกเขาอยากให้พระองค์แสดง (อัศจรรย์) ให้พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ที่แท้จริง
พระเยซูเจ้ารู้ถึงความต้องการของพวกเขาจึงตรัสว่า “ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน” (ลก 4:24)
นี่คือความจริงที่ทิ่มแทงใจดำพวกเขา พระองค์ยังอ้างถึงเหตุการณ์การอดอยากครั้งใหญ่สมัยประกาศกเอลียาห์
มีหญิงม่ายมากมายในกาลิลีแต่มีเพียงหญิงม่ายที่เมืองเศราฟัทที่ได้รับการช่วยเหลือ
และสมัยประกาศกเอลีชามีคนโรคเรื้อนมากมายในอิสราแอล
แต่มีเพียงนาอามานชาวซีเรียที่ได้รับการรักษา
ถือเป็นการยกย่องคุณธรรมของคนต่างศาสนาเหนือกว่าชาวยิว
ชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้พวกเขาโกรธมากถึงขนาดหาช่องทางจะฆ่าพระองค์
พระดำรัสของพระเยซูเจ้าแสดงให้ชาวนาซาเร็ธเห็นว่า
พวกเขาไม่ต่างจากบรรพบุรุษของพวกเขาที่ไม่เชื่อจึงไม่มีอัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้น
ตรงข้าม พระเจ้าได้ทำอัศจรรย์กับคนต่างศาสนาที่เชื่อในพระองค์
พระเยซูเจ้าเป็นเหมือนประกาศกในอดีตที่กล้าพูดความจริงกับคนที่กำลังเกรี้ยวกราดและไม่ต้องการฟังพระองค์
และทรงยกย่องความเชื่อของคนต่างศาสนา การปฏิเสธของชาวนาซาเร็ธเป็นภาพล่วงหน้าถึง การต่อต้านและการปฏิเสธที่พระองค์จะได้รับในเวลาต่อมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนไม้กางเขน
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวรสารวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชน
ในการดำเนินชีวิตประจำวันหลายประการ
ประการแรก
เราต้องเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธด้วยความกล้าหาญและมองโลกในแง่ดี
เรื่องราวการไม่ได้รับการยอมรับของพระเยซูเจ้า คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา
แต่ละคนมีประสบการณ์ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ การทรยศหักหลัง การอย่าร้าง
การไม่เชื่อฟัง การถูกทอดทิ้ง ฯลฯ ให้เรามองดูในอีกด้านหนึ่ง
เราอาจไม่ได้เป็นตัวแทนที่ดีของพระเจ้า
หรือบ่อยครั้งเราอาจมองไม่เห็นพระเจ้าในตัวบุคคลอื่น เพราะอคติและความใจแคบของเรา ทำให้มองไม่เห็นด้านดีของผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
ประการที่สอง เราต้องดำเนินชีวิตในความรัก เราต้องไม่ทำตัวเหมือนชาวเมืองนาซาเร็ธที่เต็มไปด้วยอคติ
จิตใจคับแคบและปฏิเสธพระเยซูเจ้า แต่ต้องเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ
ในความรักที่อดทน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย
ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ตามที่นักบุญเปาโลพูดถึง
เพื่อเราจะสามารถมองเห็นการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าในบุคคลต่างๆ ที่เราพบเห็น
ประการที่สาม เราต้องกล้าหาญในการทำหน้าที่ประกาศก ประกาศกมิใช่คนที่ทำนายอนาคต
แต่เป็นผู้ที่พูดในนามของพระเจ้า ผ่านทางศีลล้างบาปเราได้รับการเรียกให้เป็นประกาศกเหมือนพระเยซูเจ้า
ที่จะต้องพูดและดำเนินชีวิตในความจริงของพระเจ้า
กล้าหาญที่จะยืนยันถึงความจริงและความถูกต้องโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
และพร้อมที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรม การทุจริตคอร์รับชัน การค้ามนุษย์และสิ่งเสพติดที่ครอบงำสังคมและตัวเราในปัจจุบัน
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวรสารวันนี้สอนเราให้ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยใจกว้าง
บนพื้นฐานแห่งความรักที่อดทน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่จดจำความผิด มองเห็นความดีของกันและกันโดยปราศจากอคติ
เฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยปัจจุบันที่มีความแตกแยกรุนแรง มีการแบ่งสีเลือกข้าง
ความรักของพระเจ้าไม่เคยแบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มียิวหรือกรีก
ไม่มีทาสหรือไท แต่ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน
ความรักเป็นคุณธรรมที่ครบครันและสำคัญที่สุด นักบุญฟรังซิส เดอ
ซาลส์ กล่าวว่า “ทุกอย่างที่ท่านทำสำเร็จได้ในความรัก”
ชีวิตคริสตชนของเราจะมั่นคงหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับความรักที่เราแสดงออกในงานหน้าที่ของเรา
ความรักจึงเป็นเครื่องวัดคุณภาพชีวิตคริสตชน ที่ค้ำจุนเราให้มีความกล้าหาญ
อดทนและพร้อมจะเผชิญกับการท้าทายในลักษณะต่างๆ ดังนั้น
ให้เราได้ดำเนินชีวิตในความรักและเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว31 มกราคม 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น