การระลึกถึงผู้ล่วงลับ
วันที่ 2 พฤศจิกายน
วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ
|
รม 5:5-11
ยน 6:37-40
|
บทนำ
ในขณะที่เรียนอยู่ที่ประเทศอิตาลี เวลาปิดภาคฤดูร้อนได้มีโอกาสไปช่วยงานที่วีโกเน
(Vigone)
หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตโตรีโน (Torino) แคว้นปีเอมอนเต
(Piemonte) ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ทุกวันต้องปั่นจักรยานผ่านสุสานของวีโกเน
ได้สังเกตเห็นผู้คนหลายคนในสุสานกำลังทำความสะอาดหลุมศพ บ้างรดน้ำต้นไม้
บ้างเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันหรือสวดภาวนา ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะที่วีโกเนเท่านั้น
หลายหมู่บ้านที่ไปมาจะพบเห็นบรรยากาศเช่นนี้เสมอ
สุสานจึงกลายเป็นที่พบปะของผู้คน
สงบ ร่มรื่นและสวยงาม ไม่มีบรรยากาศของความวังเวงน่ากลัวเหมือนอย่างเมืองไทย คงเป็นเพราะความเชื่อศรัทธาหรือความผูกพันของผู้คนที่นั่น
(อิตาลี) ที่มีต่อญาติพี่น้องผู้ล่วงลับจึงแวะเวียนไปเยี่ยมที่สุสานเป็นประจำ
บางคนไปทุกวัน วันเว้นวันหรือสองสามวันครั้ง
มิใช่คิดถึงหรือไปหาปีละครั้งเฉพาะวันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับเหมือนบ้านเรา
ยิ่งเวลาที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยิ่งเห็นชัดถึงข้อดีของเขา
เพราะหากเรารักใครสักคน แม้เขาจากเราไปแล้วแต่เรายังรักและผูกพันกันอยู่ โดยเฉพาะกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและมีพระคุณด้วยแล้ว
ยิ่งต้องรักและคิดถึงให้มาก ไปหาทุกวันได้ยิ่งดี
ในแต่ละวันจึงมีผู้คนมากมายไปที่สุสาน บางหมู่บ้านมีมิสซาบ่อยครั้งที่สุสานอย่างที่เชร์เชนาสโก
(Cercenasco)
(คุณพ่อเจ้าอาวาสที่อยู่ด้วยถึงกับพูดติดตลกว่า สาเหตุที่มาทำมิสซาที่สุสานเพราะคนมาสุสานมากกว่าวัด)
วันนี้พระศาสนจักรให้เราภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ
หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วันเสกสุสาน” เพื่อภาวนาและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับของเรา
เป็นการระลึกถึงวิญญาณทุกดวงที่กำลังทนทุกข์ในไฟชำระ เพื่อรอการชำระล้างให้บริสุทธิ์และคู่ควรกับการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร
ธรรมเนียมการภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับในพระศาสนจักร
เริ่มเป็นครั้งแรกในอารามฤษีในช่วงต้นศตวรรษที่ 6 ที่พากันระลึกถึงสมาชิกที่ล่วงลับไปแล้ว
จนกระทั่งศตวรรษที่ 9 ธรรมเนียมนี้ได้เป็นที่แพร่หลายในพระศาสนจักร
1.
การระลึกถึงผู้ล่วงลับ
เมื่อวาน (1
พฤศจิกายน) เราสมโภชนักบุญทั้งหลาย เราแต่ละคนซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในโลกนี้
(พระศาสนจักรที่กำลังต่อสู้) เป็นหนึ่งเดียวกับบรรดานักบุญซึ่งได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์
(พระศาสนจักรที่ได้รับชัยชนะ) และวันนี้ (2 พฤศจิกายน) เราเฉลิมฉลองความเป็นหนึ่งเดียวกับญาติพี่น้องที่อยู่ในไฟชำระ
วิญญาณที่ยังไม่พร้อมจะอยู่กับพระเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์
(พระศาสนจักรที่กำลังทนทุกข์) ซึ่งความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวนี้รวมเรียกว่า “สหพันธ์นักบุญ”
เราคริสตชนเชื่อในสิ่งสุดท้าย
4 อย่างได้แก่ ความตาย การพิพากษา สวรรค์และนรก แต่ “ไฟชำระ”
ไม่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสุดท้าย ทั้งนี้เพราะ
ไฟชำระเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์
วิญญาณที่อยู่ในไฟชำระคือวิญญาณที่ถูกพิพากษาว่ายังไม่คู่ควรกับสวรรค์
วิญญาณเหล่านี้จะต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เสียก่อน อย่างที่นักบุญยอห์นกล่าวถึงในหนังสือวิวรณ์
“สิ่งที่เป็นมลทิน หรือผู้ที่มีความประพฤติน่ารังเกียจ
หรือผู้พูดเท็จจะไม่ได้เข้าในนครนี้” (วว 21:27)
ในหนังสือคำสอนของพระศาสนจักร
ได้อ้างคำอธิบายของนักบุญเกรโกรีที่ว่า “ทุกคนที่สิ้นใจในมิตรภาพและพระพรของพระเจ้าแต่ยังไม่บริสุทธิ์
จะบรรลุถึงความรอดนิรันดรเมื่อพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์หลังความตายแล้วเท่านั้น
ถึงจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นสำหรับการเข้ารับความชื่นชมยินดีในสวรรค์”
ซึ่งพระศาสนจักรเรียกว่า “ไฟชำระ” เป็นการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟอย่างที่นักบุญเปโตรพูดถึง
(ดู 1 ปต. 1:7)
2.
บทเรียนสำหรับเรา
การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับที่เราระลึกในวันนี้
ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องตระหนักในความรักของพระเจ้า ไม่มีใครที่มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม แม้เราจะได้รับศีลล้างบาปได้ชื่อว่าเป็นคริสตชนแล้ว
แต่ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และไม่มีเงื่อนไข พระองค์ทรงรักเราแม้เราจะไม่สมบูรณ์
ประการสำคัญ
พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งวิญญาณของพี่น้องชายหญิงของเราที่ล่วงหน้าเราไปก่อน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ดำเนินชีวิตคู่ควรกับความเป็นคริสตชนก็ตาม (เว้นแต่ว่า
พวกเขาตั้งใจที่จะปฏิเสธพระองค์)
ประการที่สาม เราต้องระลึกถึงญาติพี่น้องผู้ล่วงลับอยู่เสมอ ความตายมิใช่จุดจบ แต่เรายังเป็นหนึ่งเดียวกับญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ
ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก ที่สำคัญ วิญญาณญาติพี่น้องของเราซึ่งอยู่ในไฟชำระ
ไม่สามารถช่วยตนเองได้เหมือนเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
เป็นหน้าที่และมีเพียงเราที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ที่จะช่วยพวกเขาได้
พวกเขาต้องการคำภาวนาและพิธีบูชาขอบพระคุณจากเรา
เพื่อพวกเขาจะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ เราจึงไม่ควรระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักของเรา
(ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้อง) เฉพาะแต่ในวันนี้เท่านั้น
ประการที่สาม เราต้องตระหนักในชีวิตของเรา การมารวมกันที่สุสานต่อหน้าหลุมศพญาติพี่น้องของเรา
สะท้อนความจริงที่ว่า ชีวิตในโลกนี้สั้น ไม่จีรังยั่งยืน บางคนจึงบอกว่า “ชีวิตของเรานั้นสั้นเกินกว่าจะเห็นแก่ตัว”
แต่ในความเป็นจริงเราก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ยังมีความโลภ โกรธ หลง เมื่อเราอยู่ต่อหน้าหลุมศพเราต้องตระหนักว่า
ต่อไปเราก็ต้องเป็นแบบนี้ สิ่งนี้เป็นกฎธรรมชาติ และทุกชีวิตไม่มีใครหลีกพ้น
ประการสำคัญเราไม่รู้ว่าวันเวลาของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ เราจึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
บทสรุป
พี่น้องที่รัก วันนี้เราระลึกถึงพี่น้องของเราที่กำลังทนทุกข์ในไฟชำระเพราะผลของบาป
เป็นการแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้เป็นกับผู้ตาย
ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก ให้เราได้ส่งคำภาวนาและอุทิศส่วนกุศลในพิธีบูชาขอบพระคุณแด่พวกเขา
มิใช่แต่เฉพาะในวันนี้เท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาและปลดปล่อยพวกเขาให้ได้รับการชำระล้าง
และคู่ควรกับการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์
ที่สุด
เราต้องตระหนักถึงพระพรแห่งชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้า ทุกครั้งที่เราอยู่ต่อหน้าหลุมศพ
เราต้องตระหนักว่า ต่อไปเราก็ต้องเป็นแบบนี้ สิ่งนี้เป็นกฎธรรมชาติ
และทุกชีวิตไม่มีใครหลีกพ้น นี่คือสัจธรรมแห่งชีวิต
ประการสำคัญเราไม่รู้ว่าวันเวลาของเราจะมาถึงเมื่อไหร่
เราจึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในการดำเนินชีวิตในความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง เพราะในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
พระเจ้าจะไม่ถามว่าเราได้ทำอะไรบ้าง แต่จะถามว่า “เราได้รักอย่างไร”
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
01 พศจิกายน 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น