วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันของพระเจ้า



วันของพระเจ้า
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
ปี C
มลค 4:1-2
2 ธส 3:7-12
ลก 21:5-19
บทนำ
โซเรน คิร์เคการ์ด นักปรัชญาชาวเดนมาร์กได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ณ โรงละครแห่งหนึ่งที่กำลังทำการแสดงรายการต่างๆ แต่ละรายการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมและได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชม ทันใดนั้นผู้กำกับการแสดงได้ปรากฏตัวบนเวที กล่าวขอโทษที่ต้องขึ้นมาขัดจังหวะ เขาประกาศด้วยเสียงอันดังว่าไฟกำลังไหม้โรงละครแห่งนี้ และขอร้องผู้ชมให้ออกจากโรงละครเดี๋ยวนี้
ผู้ชมต่างคิดว่านี่คือมุขตลกแบบหักมุมที่ขบขันที่สุด จึงหัวเราะชอบใจดังลั่น ผู้กำกับการแสดงได้อ้อนวอนผู้ชมอีกครั้งด้วยอาการซีดเผือดเหมือนคนไข้ ให้รีบออกจากอาคารที่กำลังไหม้ แต่ผู้ชมยังคงปรบมือกึกก้อง สุดท้าย เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้อีก เพราะไฟได้โหมไหม้อาคารทั้งหลังปิดทางเข้าออกจนออกไม่ได้ และคิร์เคการ์ดสรุปว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า ชีวิตของเราจะเผชิญกับหายนะที่รุนแรงดังเช่นผู้ชมที่กำลังส่งเสียงเชียร์เช่นกัน”
บทอ่านวันนี้เตือนเราถึงชะตากรรมในแบบเดียวกัน หากเราไม่เตรียมพร้อมเมื่อวันของพระเจ้ามาถึงในแบบที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น ในสัปดาห์ก่อนสุดท้ายของปีพิธีกรรม พระศาสนจักรจึงเรียกร้องให้เราได้พิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับวันของพระเจ้า การสิ้นสุดของโลกและของมนุษย์แต่ละคน พระคัมภีร์บอกเราว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เวลาใด แต่ที่เรารู้อย่างแน่นอนไม่มีใครปฏิเสธคือ วาระสุดท้ายของเราในโลกจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อเราจบชีวิต (ตาย)

1.         วันของพระเจ้า
ประกาศกมาลาคีเห็นถึงความอยุติธรรมในสังคมที่อยู่รอบตัวท่าน และได้พูดถึง “วันของพระเจ้า” ที่จะมาถึง ซึ่งเป็นวันที่พระยุติธรรมของพระเจ้าจะฉายแสง อันเป็นความหวังสำหรับประชากรอิสราแอลในพันธสัญญาเก่าที่ถูกกดขี่และเอารัดเอาเปรียบว่า ที่สุดแล้วพวกเขาจะได้รับความยุติธรรมจากพระเจ้าเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง  เป็นการให้กำลังใจพวกเขาที่กำลังทนทุกข์ให้มีกำลังใจและความหวัง ไม่มีใครทราบว่าวาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงเมื่อไร แต่วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน
ต่อมาภายหลังได้ประยุกต์ความคิดเกี่ยวกับวาระสุดท้ายและวันของพระเจ้ากับ “การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า” ผู้ทรงเป็นดวงอาทิตย์แห่งความยุติธรรม ตามความเชื่อที่เราประกาศทุกอาทิตย์ว่า “พระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย” อันเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรนิรันดรของพระเจ้า และเป็นความหวังสำหรับเราคริสตชนในปัจจุบัน
นักบุญเปาโลและคริสตชนในระยะเริ่มแรกเข้าใจว่า วันของพระเจ้าและการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า บางคนจึงอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่คิดจะทำอะไร แต่นักบุญเปาโลได้เตือนสติพวกเขาไม่ให้ตื่นตระหนก แต่ให้ทำงานอย่างสงบ ทำให้โลกนี้เป็นบ้าน (ชั่วคราว) ที่น่าอยู่สำหรับตัวเราเอง และสำหรับเพื่อนพี่น้องของเรา เหมือนอย่างที่ท่านได้ทำเป็นตัวอย่าง ไม่ยอมเป็นภาระแก่ใคร และได้กำชับว่า “ถ้าใครไม่อยากทำงานก็อย่ากิน” เพราะมีบางคนไม่ยอมทำอะไร แต่ชอบไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของคนอื่น
ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงสอนถึงการสิ้นสุดของโลกและของมนุษย์แต่ละคน โดยโยงไปถึงการล่มสลายของพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ที่ทรงเห็นล่วงหน้าถึงจุดจบที่น่าอนาถ พระองค์ไม่ทรงต้องการให้มนุษย์กังวลถึงการสิ้นสุดของโลก แต่ทรงสอนให้เตรียมตัวไปถึงเวลานั้นด้วยความเชื่อและความซื่อสัตย์ พระองค์ได้ให้ความมั่นใจกับเราว่าจะอยู่กับเราตลอดไป (มธ 28:20) แม้ว่าร่างกายจะต้องถึงจุดจบในรูปแบบต่างๆ กัน แต่ความเชื่อและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจะนำวิญญาณเราไปสู่ความรอด

2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เราไม่ทราบว่าวันของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไหร่ อีกทั้งไม่รู้วันตายของเราด้วย แต่เราแน่ใจว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงอย่างแน่นอน ในการเผชิญหน้ากับวันของพระเจ้าและความตาย เราต้องดำเนินชีวิตในความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจและการให้อภัยที่ไม่มีเงื่อนไข ตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา โดยเฉพาะในตัวเพื่อนพี่น้อง พิจารณามโนธรรมของตนทุกวันก่อนนอน เพื่อขอสมาโทษและการให้อภัยจากพระเจ้า
ประการที่สอง เราต้องทำหน้าที่ประจำวันของเราให้ดีที่สุด ชาวอเมริกันมีสุภาษิตบทหนึ่งว่า “เขาตายในสภาพสวมรองเท้าบูท” (He died with his boots on.) นั่นหมายความว่า บุคคลนั้นตายขณะกำลังทำหน้าที่ เขาได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าจนถึงวาระสุดท้ายในโลก ให้เราได้คิดถึงพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “จงรักซึ่งกันและกัน” “จงมีความเมตตากรุณาเหมือนที่พระบิดาทรงมี” “จงให้อภัยซึ่งกันและกันด้วยใจกว้าง” นี่คือ การวางแผนที่จะตายพร้อมกับรองเท้าบูทด้วยการเดินตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า
ประการที่สาม เราจะต้องไม่กลัวการสิ้นโลกหรือการจบชีวิตจากโลกนี้ หากเราได้ดำเนินชีวิตอย่างชื่อสัตย์และทำหน้าที่ของเราอย่างดีและรับผิดชอบ เราจะต้องไม่ตื่นตระหนกเพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษาเราด้วยความเมตตากรุณา และนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร นักบุญเปาโลบอกเราว่า “หากเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้า เราจะกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์” สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการเป็นพยานถึงความเชื่อคริสตชน แม้ในห้วงเวลาของความทุกข์ลำเค็ญ ด้วยการรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วยความเพียรทน

บทสรุป
พี่น้องที่รัก เป็นความจริงว่าวันของพระเจ้าจะต้องมาถึง โลกจะถึงกาลอวสานในวันหนึ่ง ซึ่งมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้วันเวลาที่ชัดเจน สิ่งที่เราควรกระทำคือใช้วันเวลาที่เรามีให้เกิดประโยชน์สำหรับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง เชื่อและไว้ใจพระเมตตาและคำสัญญาแห่งรักของพระเยซูเจ้า ผู้ได้สิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายเพื่อเรา ประการสำคัญ เราจะต้องไม่กลัวและกังวลใจถึงอนาคต แต่จะต้องใส่ใจในปัจจุบัน ขณะนี้และเวลานี้
นักบุญเปาโลได้เตือนชาวเธสะโลนิกาและเราแต่ละคนให้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ รับผิดชอบต่อผู้อื่น ไม่ใช่อยู่เฉยๆ โดยไม่ทำงานหรือชอบไปยุ่งเรื่องของคนอื่น สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เวลาปัจจุบันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราคือการเตรียมตัวเผชิญกับวันของพระเจ้าและของชีวิตเรา ด้วยการรักและรับใช้พระเจ้าในผู้อื่นในแต่ละวัน ด้วยความไว้ใจในพระเจ้าและด้วยความเพียรทนจนถึงวาระสุดท้าย
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
สำนักมิสซัง สกลนคร
15 พฤศจิกายน 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น