เงื่อนไขของการเป็นศิษย์พระคริสต์
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา
ปี C
|
ปชญ 9:13-18ข
ฟม 9-10, 12-17
ลก 14:25-33
|
บทนำ
นักบุญโทมัส
มอร์ (St. Thomas More: 1477 -1535) รัฐบุรุษชาวอังกฤษที่เคยรับราชการในตำแหน่งมหาเสนาบดี
(Lord
Chancellor) ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งอังกฤษ ถือเป็นนักกฎหมาย
นักคิด นักเขียนที่มีชื่อเสียง ผลงานอมตะที่โด่งดังเป็นที่รู้จักคือ ยูโทเปีย
(Utopia) ซึ่งเป็นการเขียนวิจารณ์ความเลวร้ายของสังคมในยุคนั้น และกล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่ดีงาม
เป็นสังคมที่พึงปรารถนาของผู้คนในสมัยนั้น
โทมัส
มอร์ ถูกจับในข้อหาการกบฏเพราะปฏิเสธไม่ยอมลงนามรับรองการแต่งงานครั้งที่สองของพระเจ้าเฮนรี่ที่
8
ว่าเป็นสิ่งถูกต้อง อีกทั้งไม่ยอมรับอำนาจสูงสุดทางศาสนาของพระองค์ว่าอยู่เหนือพระสันตะปาปา
แม้ครอบครัวของมอร์จะวิงวอนให้เห็นแก่ชีวิตของตนเองและชีวิตของพวกเขา ภรรยากับบุตรสาวพยายามอย่างสุดความสามารถในการชักชวนมอร์ให้เปลี่ยนใจดังเช่นข้าราชการคนอื่นๆ
แต่ มอร์
ยังคงปฏิเสธไม่ยอมทำในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าผิด
ที่สุด
โทมัส มอร์ ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1535 และได้กล่าวกับฝูงชน ณ ลานประหารว่า “ข้าพเจ้าตายอย่างผู้รับใช้ที่ดีของกษัตริย์
หากแต่พระเจ้าต้องมาเป็นลำดับแรก” ท่านนักบุญได้จ่ายราคาแห่งการเป็นศิษย์พระคริสตเจ้าด้วยการรักพระเจ้ามากว่าบุตร
ภรรยา พี่น้องชายหญิงและแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
บทอ่านวันนี้ได้ท้าทายเราให้อุทิศตนในการถือปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่และสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตของเรา
1.
เงื่อนไขแห่งการเป็นศิษย์พระคริสต์
ในพระวรสาร
พระเยซูเจ้าได้ท้าทายและให้แนวทางหลายประการในการเป็นคริสตชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการเป็นศิษย์ติดตามพระองค์
เงื่อนไขแรก
การสละบุคคลอันเป็นที่รัก “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา
ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิงและแม้พระทั่งชีวิตของตนเอง
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้” (ลก 14:26) โดยธรรมชาติมนุษย์ต่างรักชีวิตของตน หากไม่มีชีวิตแล้วทุกสิ่งที่มีอยู่ล้วนไร้ค่า
ถัดจากชีวิตของตนก็เป็นครอบครัว ต่อมาจึงเป็นข้าวของทรัพย์สมบัติ
พระเยซูเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เราเกลียดชีวิตของตนหรือเกลียดชังบุคคลอันเป็นที่รัก
อย่างบิดามารดา บุตร ภรรยา พี่น้องชายหญิง แต่พระองค์ต้องการเตือนใจเราว่า
เราจะต้องรักพระเจ้ามากกว่าบุคคลเหล่านี้ พระเจ้าต้องยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา
เงื่อนไขที่สอง
การแบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ “ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน” (ลก 14:27) ทุกครั้งที่เราแบกกางเขนของตน ก็เท่ากับว่าเราได้แบกกางเขนของพระเยซูเจ้า
ดังนั้น ความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตจึงมีความหมายสำหรับเราคริสตชน เพราะนี่คือท่อธารแห่งพระพรที่นำเราให้ชิดสนิทและเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า
ประการสำคัญ ทำให้เราร่วมส่วนในพระมหาทรมานขององค์พระผู้ไถ่ ผ่านทางกางเขนนี้เท่านั้นที่นำไปสู่ความรอดนิรันดร
และเงื่อนไขสุดท้าย
การสละทุกสิ่งที่มี “ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่
ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้” (ลก 14:33)
พระเยซูเจ้ามิได้หมายถึงให้เราขายทุกสิ่งที่มีแล้วใช้ชีวิตอย่างอนาถาข้างถนน
แต่พระองค์หมายถึงการรู้จักคิดคำนวณอย่างรอบคอบ
(อย่างคำอุปมาเรื่องการสร้างหอคอยและการทำสงคราม) และใช้ทุกสิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์
มิใช่สำหรับตนเองเท่านั้นแต่สำหรับผู้อื่น ด้วยการแบ่งปันสิ่งที่เรามีและพระพรต่างๆ
ที่เราได้รับกับผู้อื่นที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก
พระเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เป้าหมายแห่งชีวิตมนุษย์คือการเข้าอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า
เราจะไม่สามารถเป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์ได้หากเราให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าพระองค์
ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา บุตร ภรรยา หรือพี่น้องชายหญิง เครื่องหมายที่บ่งบอกว่าพระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเราคือ
การภาวนาประจำวัน, การร่วมพิธีศีลมหาสนิททุกวันอาทิตย์,
การอ่านและศึกษาพระคัมภีร์, การช่วยงานวัด หรือการให้เวลาและแบ่งปันพระพรที่เรามีในงานของพระองค์
ประการที่สอง
เราจะต้องแบกกางเขนของตนทุกวัน ด้วยการรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
พร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาและความยากลำบากต่างๆ
แม้กระทั่งยอมทนทุกข์เพื่อเห็นแก่พระเจ้า
ผู้ที่แบกกางเขนของตนทุกวันจึงเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ และพระองค์จะประทานพลังและพระพรที่จำเป็นแก่เขาในการเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง
ประการสุดท้าย
เราต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น
ทุกสิ่งที่เรามีล้วนแล้วแต่เป็นพระพรของพระเจ้าทั้งนั้น ซึ่งมิใช่สำหรับตัวเราเองหรือพวกพ้องเราเท่านั้น
เราจะต้องใจกว้าง คิดถึงคนอื่นและใช้ให้เกิดประโยชน์สำหรับสังคมและความดีส่วนรวม
ด้วยการแบ่งปันทุกสิ่งที่เรามีกับคนที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ เป็นต้น
คนยากจนที่อยู่ในสภาพที่ด้อยกว่าเรา
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้ให้แนวทางในการเป็นศิษย์ติดตามพระองค์
นั่นคือ การรักพระองค์มากกว่าสิ่งอื่นใด พระเจ้าต้องสำคัญที่สุดและเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา
เมื่อเราดำเนินชีวิตในความรักของพระเจ้า
เราก็จะปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนเป็นพี่น้องที่มีพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน ไม่มีทาสไม่มีไท
ไม่มียิวไม่มีกรีก ทุกคนคือพี่น้องที่เท่าเสมอกันต่อหน้าพระเจ้า
ที่เราต้องรักโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
นอกนั้น
เราจะต้องแบกกางเขนของตนทุกวัน รับผิดชอบต่อหน้าที่และน้อมรับความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เพื่อร่วมส่วนในพระมหาทรมานของพระองค์ อีกทั้งจะต้องไม่ติดใจอยู่กับข้าวของทรัพย์สมบัติในโลกนี้ รู้จักตัดสละและแบ่งปันทุกสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น
เป็นต้นคนที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ เพราะนี่คือเครื่องหมายของการเป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้า
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟ กุฉินารายณ์
6 กันยายน 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น