วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

คนรวย คนจน



คนรวย คนจน
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา
ปี C
อมส 6:1ก,4-7
1 ทธ 6:11-16
ลก 16:19-31
บทนำ
เมื่อไม่นานมานี้นิตยสารฟอร์บส์ ได้เปิดเผยรายชื่อ 50 อันดับมหาเศรษฐีประเทศไทย ที่มีมูลค่าความร่ำรวยรวมสูงถึงกว่า 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 4 หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี นอกจากนี้ มหาเศรษฐีไทย 44 ราย จาก 50 ราย ยังมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากตลาดหุ้นไทยที่เติบโตขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ เมื่อดูจากตัวเลขที่แสดงออกมาน่าสนใจว่าประเทศไทยมีมหาเศรษฐีมากจริงๆ ที่สำคัญจำนวนของทรัพย์สินยังมีมูลค่ามหาศาลอีกด้วย
เมื่อดูรายละเอียดที่นิตยสารชื่อดังระดับโลกฉบับนี้ระบุ พบว่า นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ครองอันดับ 1 ของมหาเศรษฐีไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.93 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12 แสนล้านบาท จากการรุกเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ในปี 2556 ทั้งบริษัทซีพีออลล์ ที่เข้าซื้อสยามแม็คโคร และนายธนินท์เข้าซื้อหุ้นใหญ่ 15% ในบริษัทประกันภัยผิงอันของจีน ที่ถือว่าเป็นมูลค่าการซื้อบริษัทจีนที่มากที่สุดโดยบริษัทต่างชาติ
อันดับ 2 ตระกูลจิราธิวัฒน์ มูลค่าทรัพย์สิน 3.83 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.68 แสนล้านบาท ขณะที่นายเจริญ สิริวัฒนภักดี มั่งคั่งเป็นอันดับ 3 มูลค่าทรัพย์สิน 3.3 แสนล้านบาท หลังจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ เข้าซื้อกิจการกลุ่มบริษัทเอฟแอนด์เอ็น ในสิงคโปร์ อันดับ 4 ตระกูลอยู่วิทยา กลุ่มกระทิงแดง มูลค่าทรัพย์สิน 2.43 แสนล้านบาท อันดับ 5 กฤตย์ รัตนรักษ์ บริษัทกรุงเทพวิทยุโทรทัศน์ จำกัด ผู้บริหารช่อง 7 สี มูลค่าทรัพย์สิน 1.21 แสนล้านบาท
เมื่อดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ เหล่าบรรดาเจ้าสัวในรายชื่อทั้งหมดที่ถูกจัดอันดับ ไม่มีชื่อนายแบงก์เหมือนเช่นในอดีต อีกทั้งมูลค่าความร่ำรวยของมหาเศรษฐีเหล่านั้น ก็นับถึง 1 ใน 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สะท้อนให้เห็นความถ่างและช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยถูกขยายให้ห่างกันมากขึ้น อย่างที่เรียกว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”
คำอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส สะท้อนให้เห็นลักษณะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวของคนสองคน คนหนึ่งร่ำรวยเป็นเศรษฐี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นขอทานยากจนเข็ญใจ ชีวิตของคนทั้งสองแตกต่างกัน ไม่ใช่เพียงเรื่องฐานะความเป็นอยู่เท่านั้น แต่ยังแตกต่างกันระหว่างชีวิตหลังความตายอีกด้วย ความแตกต่างประการหลังนี้เห็นได้ถึงความเด็ดขาดและถาวร ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ ส่งผลให้เศรษฐีต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
1.         คนรวย คนจน
ในพระวรสารวันนี้ได้นำเสนอเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส พระเยซูเจ้าได้ฉายภาพชีวิตเศรษฐีที่อยู่อย่างคนโลภและฟุ่มเฟือย “แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงทุกวัน” เขาได้ละเลยบัญญัติเอกและสำคัญที่สุดคือ จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ชีวิตของเขาตั้งอยู่บนความสะดวกสบายด้านวัตถุและทำทุกอย่างเพื่อตนเอง โดยไม่เคยคิดถึงความลำบากเดือดร้อนของคนอื่น หัวใจของเขาว่างเปล่าเพราะเขาขาดความรัก ตาของเขาบอดมือเพราะมองไม่เห็นความต้องการของพี่น้อง
ในทางตรงข้าม ลาซารัส มีชีวิตอยู่อย่างยากจนน่าสังเวช มีแผลเต็มตัว ไม่มีแรงแม้แต่จะไล่สุนัขที่กำลังเลียแผล เขาถูกนำมาทิ้งไว้ที่ประตูบ้านเศรษฐีและรอสิ่งที่ตกจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ต้องการสิ่งที่มีค่าใด นอกจากเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตซึ่งเศรษฐีไม่ต้องการแล้ว เศรษฐีจึงเป็นตัวแทนของคนรวยที่เห็นแก่ตัว ขณะที่ลาซารัส เป็นตัวแทนของของคนจนหลายรูปแบบทุกยุคทุกสมัยที่เราไม่ถือว่าเป็นพี่น้อง อีกทั้งเป็นตัวแทนของเด็กที่ถูกทำลายชีวิตจากน้ำมือของผู้เป็นแม่ด้วยการทำแท้ง ซึ่งเป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน
คำว่า “ลาซารัส” เป็นชื่อภาษากรีกแปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วย” เพื่อเน้นให้เห็นความจริงที่ว่า แม้คนชอบธรรมจะยากจนไม่มีใครช่วยเหลือ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเขาเสมอ เราจึงได้เห็นสถานการณ์ที่กลับกันหลังความตาย เศรษฐีกลายเป็นคนจนน่าสมเพชในเปลวไฟ (นรก) ที่ร้องขอความช่วยเหลือจากลาซารัส  ขณะที่ลาซารัสกลายเป็นคนร่ำรวยมีความสุข (สวรรค์) เพราะได้อยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม
2.         บทเรียนสำหรับเรา
คำอุปมานี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก พระเจ้าทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เราจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ต้องชดเชยตามราคาของสิ่งนั้น เวลามีชีวิตอยู่ในโลกเราอาจได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่อาจต้องสูญเสียวิญญาณหรือความสุขนิรันดรกับพระเจ้าในบั้นปลาย สิ่งที่ทำให้เศรษฐีต้องทรมานในไฟ(นรก) ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำลงไป แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำต่างหาก ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าจึงต้องแสดงออกต่อเพื่อนพี่น้องของเรา เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ปรากฏพระองค์ให้เราเห็นในตัวคนยากจน
ประการที่สอง เราต้องแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับคนจน ทรัพย์สมบัติหรือความร่ำรวยที่เรามีถือเป็นพระพรของพระเจ้า ที่เราต้องสำนึกเสมอว่ามิใช่สมบัติส่วนตัวของเราเพียงคนเดียว เราจะต้องแบ่งปันให้ผู้ที่ไม่มี เพื่อให้เขาสามารถเจริญชีวิตสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า เราจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับพี่น้องที่ขัดสนหรือเดือดร้อนเจียนตายไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นชะตากรรมของเราในชีวิตหน้าก็จะเป็นเช่นเดียวกับเศรษฐีในพระวรสารวันนี้
ประการที่สาม เราต้องใส่ใจและช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน บางคนอาจคิดว่าคำอุปมานี้ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะ “ฉันไม่ใช่คนรวย ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะแบ่งหรือช่วยเหลือใคร” สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเท่านั้น เราสามารถแบ่งปันสิ่งที่เรามี พระพรและความสามารถต่างๆ กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น เราจึงต้องมองดูว่า มีใครที่กำลังนั่งอยู่ที่ประตูบ้านของเรา” ที่ต้องการคำพูดให้กำลังใจ ต้องการความเป็นเพื่อน ต้องการความรักและความเข้าใจ หรือต้องการการให้อภัยจากเรา บางทีคนเหล่านี้อาจเป็นคนในบ้านของเราเอง
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าสอนเราในคำอุปมาว่า เราต้องแบ่งปันและรับผิดชอบต่อคนที่ขัดสน เศรษฐีในคำอุปมาได้รับการลงโทษเพราะเขาปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพี่น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ เราจะต้องรับรู้ถึงความอยุติธรรมที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่ต่อหน้า เราไม่สามารถจะเป็นเพียงผู้ดูเฉยๆ แล้วปล่อยให้เรื่องราวความอยุติธรรมในสังคมผ่านเลยไป เราจะต้องทำบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือ แบ่งปันสิ่งที่เรามีกับบุคคลเหล่านี้ เราไม่สามารถจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ ขณะที่ยังมีคนอย่างลาซารัสนั่งคอยเราอยู่ที่ประตูบ้าน
ชีวิตของเศรษฐีเป็นชีวิตที่ไร้ค่า เขาใช้ความร่ำรวยที่เขามีเพื่อตนเองเท่านั้นและปฏิเสธผู้อื่น ตาของเขาบอดมืดต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาเจริญชีวิตในโลกนี้โดยปราศจากพระเจ้า เขาจึงสูญเสียพระองค์ไปตลอดกาล รวมถึงทุกสิ่งที่เขามี ขณะที่ลาซารัสคือแบบอย่างของคนที่เชื่อและไว้ใจในพระเจ้า ขอให้เรารู้จักแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น เพราะเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้สำหรับการเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าคือ ความเชื่อไว้ใจในพระเจ้า ความรักต่อเพื่อนพี่น้องและการใส่ใจต่อคนยากจนขัดสน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
27 กันยายน 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น