การเชื่อและเป็นพยานแก่โลก
วันเสาร์
ในอัฐมวารปัสกา
|
กจ 4:13-21
มก 16:9-15
|
เมื่อพระเยซูเจ้าปรากฏพระองค์หลังการกลับคืนชีพ ผู้คนจำพระองค์ไม่ได้ บ้างว่าพระองค์เป็นผี (ลก 24:37) พระองค์ได้แสดงพระองค์ให้แก่ศิษย์สองคนขณะเดินทางไปเอมาอุส แต่พวกเขาจำพระองค์ไม่ได้ (มก 16:12) แม้กระทั่งมารีย์มักดาเลนา แรกทีเดียวก็เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนสวน (ยน 20:15)
ผู้คนโดยทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็น หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองจะไม่เชื่อ อริสโตเติลกล่าวว่า “การเห็นด้วยตาคือแหล่งความรู้ที่สำคัญของเรา” แต่การเห็นด้วยตาไม่เพียงพอที่จะทำให้เราจำพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนชีพได้ แต่การมองเห็นจากหัวใจต่างหากที่จะทำให้เราเชื่อและเป็นพยาน
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ตำหนิอัครสาวกทั้งสิบเอ็ด ที่ไม่เชื่อการปรากฏมาของพระองค์แก่มารีย์มักดาเลนาและศิษย์สองคนที่เอมาอุส พวกเขาปฏิเสธที่จะเชื่อสิ่งที่คนอื่นเห็น จนกว่าพวกเขาจะได้เห็นด้วยตาและสัมผัสพระองค์ด้วยมือของตน แต่สำหรับพระเจ้า เราไม่สามารถเข้าใจพระองค์ด้วยตาหรือด้วยใจได้ทั้งหมด เพราะ “เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น” (นักบุญโทมัส อไควนัส)
แต่สิ่งที่สำคัญที่นักบุญมาระโกต้องการบอกเรา ในบทสุดท้ายแห่งพระวรสารของท่านคือ จงเชื่อผู้ที่ได้เห็นและเป็นพยานด้วยตา เพื่อเราจะได้กลายเป็นพยานด้วยหัวใจแก่โลกทั้งมวลว่า “พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์ พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อและเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าในทุกสถานการณ์แห่งชีวิตของเรา ในความรักและกิจการดีทั้งหลายที่เรากระทำ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพระยูเจ้าแก่โลก เพราะเรามีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมาย “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” (มก 16:15)
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว5 เมษายน 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น