วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เราจะฉลองปีแห่งความเชื่ออย่างไร


เราจะฉลองปีแห่งความเชื่ออย่างไร


พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ได้ประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งความเชื่อ (The Year of Faith) เพื่อให้เป็นเวลาพิเศษสำหรับคริสตชนในการรู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น และเผยแพร่ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าในพระเยซูเจ้าให้แก่โลก ปีพิเศษแห่งความเชื่อนี้เริ่มจากวันที่ 11 ตุลาคม 2012 ถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2013 ซึ่งเป็นวันสมโภชพระคริสตเจ้ากษัตริย์แห่งสากลและจักรวาล

สาเหตุที่พระสันตะปาปาได้เลือกวันที่ 11 ตุลาคม 2012 เป็นวันเริ่มต้น เพื่อระลึกถึงการฉลองครบรอบเหตุการณ์ที่สำคัญ 2 อย่างในพระศาสนจักร นั่นคือ 1) ครบรอบ 50 ปีการแห่งการเปิดสภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2 โดยบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 (11 ตุลาคม 1962) และ 2) ครบรอบ 20 ปีของจัดพิมพ์หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (the Catechism of the Catholic Church) ซึ่งได้รับการประกาศรับรองโดยบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นปอล ที่ 2 (11 ตุลาคม 1992)

ความมุ่งหมาย

การค้นพบความเชื่ออีกครั้งหมายถึงการค้นพบว่า พระเจ้าทรงรักเรามากและเราจะตอบสนองความรักนี้ได้อย่างไร การเดินทางแห่งความเชื่อของเราเริ่มต้นเมื่อเรารับศีลล้างบาปและดำรงอยู่ตลอดชีวิตของเรา ในการเดินทางนี้บางครั้งเราอาจเดินหลงทางหรือหลงลืมไปว่าเรามาจากไหนและกำลังจะไปไหน ในปีนี้พระศาสนจักรเรียกร้องบรรดาคริสตชนให้อุทิศตนเองมากขึ้น เพื่อเดินทางมุ่งตรงไปยังเป้าหมายสูงสุดคือเมืองสวรรค์

ชีวิตนิรันดร ที่พระเจ้าประทานแก่เราแต่ละคนผ่านทางการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ถือเป็นศูนย์กลางของข่าวดีแห่งคริสตศาสนาเสมอมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อบรรดาคริสตชนจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงความเชื่อที่พวกเขามีและนำความเชื่อไปสู่ผู้อื่นในโลกได้ดียิ่งขึ้น จำเป็นที่พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้า

พระศาสนจักรเรียกการมีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์นี้ว่า “การกลับใจ” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูเจ้าผ่านทางพระศาสนจักรตลอดปีแห่งความเชื่อนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางศีลแห่งการคืนดี ทั้งนี้เพราะการกลับใจเป็นวิถีทางที่แจ่มชัดที่สุดที่แสดงให้พระเจ้าเห็นว่าเราเสียใจในความผิดพลาดที่เราได้กระทำ และตั้งใจที่จะเริ่มต้นใหม่ในหนทางที่ถูกต้องด้วยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระองค์

แนวทางในการปฏิบัติ

หนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับความเชื่อ โดยแบ่งออกเป็น 4 ภาค ได้แก่ สิ่งที่เราต้องเชื่อ แนวทางในการปฏิบัติ ดำเนินชีวิตและภาวนา ส่วนเอกสารของสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2 ได้ให้ความกระจ่างทุกอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระศาสนจักรกับศาสนาอื่นและทางโลก เพื่อพระศาสนจักรจะสามารถสานต่อพันธกิจในการเผยแพร่พระวาจาของพระเยซูเจ้าในโลกปัจจุบัน

การแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดถึงสิ่งที่เราคริสตชนเชื่อคือ สิ่งที่เรายืนยันใน “บทข้าพเจ้าเชื่อ” (Creed) ซึ่งเราประกาศทุกมิสซาวันอาทิตย์ เราควรใช้เวลาในการศึกษาและเรียนรู้ความเชื่อนี้อย่างขึ้นใจ บทข้าพเจ้าเชื่อนี้ได้กลายเป็นรูปแบบพื้นฐานของการจัดงานระดับนานาชาติตลอดปีแห่งความเชื่อนี้ และพระสันตะปาปาจะยืนยันบทข้าพเจ้าเชื่อนี้อย่างสง่าในพิธีบูชาขอบพระคุณปิดปีแห่งความเชื่อ วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 โอกาสสมโภชพระคริสตเจ้ากษัตริย์แห่งสากลและจักรวาล

ความรักของพระเยซูเจ้าที่มีต่อมนุษย์แต่ละคนเรียกร้องให้พระศาสนจักร ประกาศข่าวดีแห่งความเมตตาและการให้อภัยของพระเจ้าในโลก และนี่คือแก่นสำคัญของปีแห่งความเชื่อ หากเราเชื่อในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราที่แสดงออกผ่านทางพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ เราไม่อาจเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้กับตัวเราเอง เราต้องแบ่งปันความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากับคนอื่นที่อยู่รอบตัวเราและขยายออกไปสู่คนอื่นที่ไกลออกไป

คำแนะนำในการปฏิบัติ

สมณกระทรวงพระสัจธรรม ได้ให้แนวคิดและคำแนะนำในการปฏิบัติตลอดปีแห่งความเชื่อนี้ ดังนี้

1) การสอนคำสอน การเรียนรู้สิ่งที่พระศาสนจักรเชื่อผ่านทางการสอนคำสอนและการเทศน์สอนเป็นสิ่งที่ต้องเน้นเป็นพิเศษ ซึ่งเราสามารถกระทำได้ด้วยตนเองและในวัดของเรา เพื่อว่าเราจะได้มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเชื่อ

2) การศึกษาเอกสารของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 และหนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก เพื่องานอภิบาลในเขตวัด ด้านการสอนคำสอน การเทศน์และจัดเตรียมศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้สัตบุรุษได้อ่านและการไตร่ตรองสมณลิขิตเรื่อง “ประตูแห่งความเชื่อ” ของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16

3) การอ่านประวัตินักบุญ พระจิตเจ้าทรงทำงานในพระศาสนจักรเสมอมาในตัวบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน ที่ได้เจริญชีวิตตามความเชื่อทุกที่ทุกเวลา หากเราต้องการนำความเชื่อไปสู่การปฏิบัติ ต้องใช้เวลาในการอ่านประวัตินักบุญต่างๆ ซึ่งพระสันตะปาปาเรียกว่า “พลังอำนาจและความงดงามแห่งความเชื่อ” (Power and beauty of faith) และภาวนาวอนขอความช่วยเหลือจากบรรดานักบุญในการเดินทางแห่งความเชื่อของเรา

4) การจาริกแสวงบุญ การไปแสวงบุญคือช่วงเวลาพิเศษสำหรับการภาวนาและพลีกรรมใช้โทษบาป ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปสถานที่ที่ใหญ่โตหรืออยู่ห่างไกล การไปที่สักการะสถาน อาสนวิหารหรือวัดสำคัญในท้องถิ่น เป็นโอกาสให้เราสามารถประกาศความตั้งใจของเราที่จะติดตามพระคริสตเจ้าได้

บทสรุป

เหนือสิ่งอื่นใด ปีแห่งความเชื่อต้องช่วยเราให้มีชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า ทุกกิจกรรมที่เราทำต้องช่วยเราให้ไปถึงเป้าหมายนี้ พระเยซูเจ้าทรงใกล้ชิดเราในศีลมหาสนิท ดังนั้น การไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถทำได้ เราต้องตอบรับและเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระเจ้าผู้ทรงรักเรามาก ความรักของพระเจ้าคือสิ่งที่โลกแสวงหาและเฝ้าคอย

ความเชื่อ ทำให้เราแต่ละคนกลายเป็นเครื่องหมายแห่งการประทับอยู่ขององค์พระเจ้าผู้กลับคืนชีพในโลก สิ่งที่โลกต้องการเป็นพิเศษในปัจจุบันนี้คือ การเป็นพยานแห่งความเชื่อในจิตใจและหัวใจของผู้คนโดยพระวาจาขององค์พระเจ้า อาศัยการเป็นพยานแห่งความเชื่อนี้เท่านั้น ที่จะสามารถเปิดหัวใจและจิตใจของผู้คนมากมายที่กำลังแสวงหาพระเจ้าและชีวิตที่แท้จริง
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com

Roma, Italia
10 ottobre 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น