วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

พระเจ้า ผู้ทรงพระทัยดี

พระเจ้า ผู้ทรงพระทัยดี


วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี A
อสย 55:6-9
ฟป 1:20ค-24,27ก
มธ 20:1-26

บทนำ

การทำงาน ทำให้คนมีคุณค่าและศักดิ์ศรี ซึ่งมักจะผูกติดกับค่าจ้างหรือ “เงิน” จึงมีคำพูดของผู้นำในยุคหนึ่ง (จอมพลถนอม กิตติขจร) ที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ปัญหาแรงงานจึงเป็นปัญหาที่อยู่คู่สังคมมาทุกยุคทุกสมัย การว่างงานเป็นแผลเรื้อรังของสังคม คนที่ตกงานไม่เพียงทำให้ชีวิตของตนและครอบครัวยากลำบาก แต่ยังกระทบต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทำให้รู้สึกว่าตนเองด้อยศักดิ์ศรี ถูกสบประมาท เป็นกาฝากของสังคม ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้อื่น

คำอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น สะท้อนสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมยิวสมัยพระเยซูเจ้า คนที่ถูกว่าจ้างมาจะทำงานตลอดทั้งวันและรับค่าจ้างตอนสิ้นสุดวัน ดังพระดำรัสของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าอย่าบีบคั้นเพื่อนบ้านหรือปล้นเขา อย่าให้ค่าจ้างของลูกจ้างค้างอยู่กับเจ้าจนถึงรุ่งเช้า” (ลนต 19:13) “ท่านจงจ่ายเงินค่าจ้างวันนั้นให้แก่เขา ก่อนดวงอาทิตย์ตก ด้วยเกรงว่าเขาจะกล่าวหาท่านต่อพระเจ้าและจะเป็นความบาปแก่ท่าน” (ฉธบ 24:15) ค่าจ้างแรงงานในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนขัดสนเหล่านี้

ในฤดูเก็บผลองุ่น (ปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน) เจ้าของสวนต้องการคนงานมาก เพราะต้องเร่งเก็บผลองุ่นให้เสร็จก่อนฤดูฝนจะมา (กลางเดือนกันยายน) ส่วนเวลาทำงานสำหรับชาวยิวเริ่มต้นตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น นายจ้างอาจจ้างคนมาทำงานตอน หกโมงเช้า เก้าโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมงและห้าโมงเย็น จึงเป็นไปได้ที่เจ้าของจะออกไปว่าจ้างคนงานที่ตลาดตอนห้าโมงเย็น เงินหนึ่งเหรียญคือ ค่าจ้างต่อวันที่คนหนึ่งสามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน

1. พระเจ้า ผู้ทรงพระทัยดี

จากประสบการณ์ของเราแต่ละคนทำให้เราทราบว่า ความอิจฉาริษยาสร้างปัญหาให้กับเราแต่ละคนและหมู่คณะเป็นอย่างมาก อย่างที่เราได้ยินในพระวรสาร คำอุปมาที่พระเยซูเจ้าเล่าได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่คนจำนวนหนึ่ง “ทำไมเจ้าของสวนจึงจ่ายค่าจ้างแก่คนงาน ที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน (12 ชั่วโมง) กับคนที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวในจำนวนที่เท่ากัน ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เพราะคนที่ทำงานมากกว่า สมควรได้รับค่าจ้างมากกว่า” นี่เป็นวิธีคิดและการตัดสินแบบโลก

คำอุปมานี้ได้เปิดเผยให้เราได้ทราบถึง พระทัยดีและความรักของพระเจ้าที่เปิดต่อทุกคนเท่าเสมอกัน พระเจ้าเป็นเหมือนบิดาที่ใจดี บิดาย่อมไม่รักบุตรคนโตมากกว่าคนเล็ก แม้ว่าคนโตจะอายุมากกว่าคนเล็กถึงสิบปี ความรักย่อมไม่สามารถคิดคำนวณออกมาเป็นจำนวนว่ามากน้อยเพียงใด สมาชิกของครอบครัวย่อมเป็นที่รักของบิดาเท่ากัน เพราะต่างเป็นบุตรชาย-หญิงของบิดาเหมือนกัน ดังนั้น ในครอบครัวของพระเจ้า ทุกคนจึงเป็นที่รักของพระเจ้าเท่าเทียมกัน

คนงานที่ไม่พอใจและอิจฉาริษยา เพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขา ที่ไม่เปิดใจต่อพระทัยดีของพระเจ้า ซึ่งสะท้อนชีวิตของพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี ที่คิดว่าพวกเขาต้องเป็นพวกแรกในพระอาณาจักรและดีกว่าคนอื่น ทำให้พวกเขาแยกตัวออกไปจากคนอื่นและหมู่คณะ อีกทั้ง ยังตำหนิชาวยิวที่คิดว่าตนเองเป็นชนชาติที่ได้รับเลือกสรรจากพระเจ้าและควรได้รับสิทธิพิเศษ พวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจที่พระเจ้าให้สิทธิพิเศษแก่คนต่างชาติที่มาทีหลัง

2. บทเรียนสำหรับเรา

คำอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น ถือเป็นคำอุปมาที่ดีและมีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งของพระเยซูเจ้า ซึ่งได้ให้บทเรียนที่สำคัญแก่เราหลายประการ

ประการแรก พระเจ้าทรงรักทุกคน พระเจ้าทรงรักมนุษย์โดยเฉพาะคนที่ขัดสน ไม่มีสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต พระเจ้าทรงพอพระทัยนำเขามาทำงานในอาณาจักรของพระองค์ “จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร” (มธ 20:4) เพื่อให้เขาได้มีความสุขกับพระองค์ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นคริสตชนช้าหรือเร็ว เราต่างเป็นที่รักของพระเจ้า ที่ทรงรักเราและต้อนรับทุกคน

ประการที่สอง พระเจ้าทรงพระทัยดีอย่างล้นเหลือ สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เรานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่เป็นพระทัยดีของพระองค์ที่แสดงออกต่อทุกคน แม้คนบาปและคนต่างศาสนา พระหรรษทานของพระเจ้าคือสิ่งจำเป็นสำหรับการเข้าในอาณาจักรของพระองค์ ทรงประทานให้ทุกคนเท่าเสมอกัน มากกว่าที่เราสมควรจะได้รับเสียอีก เราจึงควรตอบสนองต่อพระทัยดีของพระองค์ในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น ในครอบครัว หมู่บ้านหรือหมู่คณะของเรา จึงไม่ควรมีใครเดือดร้อนหรือขัดสนโดยที่เราไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และไม่ควรมีการบ่นว่าหรืออิจฉาริษยากัน

ประการที่สาม พระเจ้าทรงห่วงใยคนมากกว่าสิ่งของ พระเจ้าไม่ได้มองดูที่งานหรือความดีที่เราทำ แต่ทรงมองดูที่ความจำเป็นของเรา เจ้าของสวนจ่ายค่าจ้างให้คนงานคนละหนึ่งเหรียญเท่ากันหมด โดยไม่คิดถึงผลกำไรเลย แสดงให้เห็นว่า เจ้าของสวนคิดถึงคนและใช้เงินที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือทุกคน เงินหนึ่งเหรียญคือค่าจ้างที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในหนึ่งวัน หากได้น้อยกว่านี้ จะทำให้ครอบครัวของเขาต้องหิวโหยในคืนนั้นและวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเจ้าทรงเรียกทุกคนให้มาทำงานในอาณาจักรของพระองค์ด้วยความรัก เพื่อให้ทุกคนได้พบความรอดนิรันดร เราจึงควรทำงานหรือทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มิใช่เพื่องานหรือหวังสินจ้างรางวัล แต่เพื่อการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้องด้วยความยินดี คุณค่าแห่งการรับใช้ของเราวัดได้จากความรักและความใจกว้างที่เราแสดงออกต่อกัน

ดังนั้น การงานหรือการกระทำของเราต้องเปิดเผยให้เห็นถึงความดีบริบูรณ์และความเมตตากรุณาของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการปฏิบัติต่อกันด้วยความรักและความใจกว้าง เป็นต้นคนที่ขัดสน เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือในครอบครัว สังคมและหมู่คณะของเรา เพื่อเราจะสามารถกล่าวได้อย่างนักบุญเปาโลที่ว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำไร” (ฟป 1:21)

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
16 กันยายน 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น