จงให้อภัยเสมอไป
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา
ปี A
|
บสร 27:30-28:7
รม 14:7-9
มธ 18:21-35
|
บทนำ
คอร์รี่ บูม อาศัยอยู่ที่อัมสเตอร์ดัมระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวของเธอเป็นเจ้าของร้านขายนาฬิกา
เมื่อทหารนาซีบุกยึดเนเธอร์แลนด์ ครอบครัวของเธอได้ให้ความช่วยเหลือชาวยิวเป็นจำนวนมากไม่ให้ถูกกวาดต้อนไปที่ค่ายมรณะเอาชวิทซ์
(Auschwitz) ที่สุดมีบางคนรู้ความเป็นไปที่ครอบครัวเธอกำลังทำอยู่ ทำให้เธอและน้องสาวที่ชื่อเบทซีถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันราเวนบรัค
(Ravenbruck)
มีเพียงคอร์รีที่รอดชีวิตจากการทรมานในค่ายกักกัน
เมื่อสงครามสงบเธอได้เดินทางไปทั่วยุโรป บรรยายเกี่ยวกับการให้อภัยและการคืนดีกัน
หลังการบรรยายครั้งหนึ่งที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ชายคนหนึ่งได้ก้าวออกมาข้างหน้า
ขอบคุณเธอสำหรับการบรรยายที่ดีเยี่ยม คอรร์รีแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
เขาคือทหารนาซีจากค่ายราเวนบรัค ชายคนนั้นยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสมือเธอ คอร์รีตัวแข็งทื่อไม่สามารถสัมผัสมือเขาได้
ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งพูดเรื่องการให้อภัยและการคืนดีกัน
ความเลวร้ายซึ่งคอร์รีได้รับที่ค่ายกักกัน และความตายของน้องสาวของเธอหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
กระทั่งเธอเริ่มภาวนาในใจว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกไม่สามารถอภัยชายคนนี้ได้
โปรดยกโทษให้ลูกด้วย” ในเวลานั้นเอง
เธอสามารถสัมผัสมือและอภัยความผิดของเขาได้อย่างสนิทใจ
ประสบการณ์วันนั้นทำให้เธอเข้าใจว่า
อาศัยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระเยซูเจ้า
เธอสามารถอภัยและยกโทษให้คนที่ทำผิดต่อเธอได้
เพราะเมื่อพระเยซูเจ้าทรงสอนให้เรารักศัตรู พระองค์ทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เราด้วยเช่นกัน
เพื่อให้สามารถอภัยคนที่ทำผิดต่อเราได้
คำอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าในพระวรสารวันนี้
เตือนเราถึงหน้าที่และพันธกิจสำคัญของการเป็นคริสตชน ในการเดินตามรอยเท้าและก้าวย่างของพระเยซูเจ้า
อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ให้แบบอย่างแก่เราเรื่องการให้อภัย ขณะถูกตรึงบนกางเขนพระองค์ได้ร้องขอพระบิดาให้อภัยผู้ที่ประหารพระองค์
“พระบิดาเจ้าข้า
โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลก 23:34) นี่คือ ความรักที่เปี่ยมล้นในหัวใจของพระองค์แม้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต
(ถูกทรมานอย่างแสนสาหัสใกล้จะตาย)
เราต้องขอบคุณเปโตรที่ยกปัญหาถามพระเยซูเจ้าว่า
“ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งพอไหม?” เปโตรหวังจะได้รับคำชมจากพระเยซูเจ้า
เพราะเลขเจ็ดถือเป็นเลขที่สมบูรณ์ในพระคัมภีร์ อีกทั้ง ตามคำสอนของอาจารย์ชาวยิว
การยกโทษให้คนที่ทำผิดต่อเราสามครั้งถือว่ามากที่สุดแล้ว และเปโตรเสนอให้ทำมากกว่าสองเท่า
แต่พระเยซูเจ้าตอบเปโตรว่า “ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
ซึ่งหมายถึง “จำนวนที่ไม่จำกัด” ต้องยกโทษตลอดไปหรือให้อภัยแบบไร้ขีดจำกัด
การให้อภัยเสมอ เป็นเรื่องที่ยากมากทั้งแนวคิดและวิธีปฏิบัติ
เพราะความคุ้นเคยกับการแก้แค้นผูกพยาบาทแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ แต่พระเยซูเจ้าสอนว่าเพื่อจะมีความสุขในชีวิตต้อง “ยกโทษให้ผู้อื่นเสมอ”
คำอุปมาที่พระองค์ทรงเล่าในพระวรสาร
ชี้ให้เห็นถึงจำนวนเงินมหาศาลที่คนรับใช้เป็นหนี้กษัตริย์ไม่อาจใช้คืนได้หมดชั่วชีวิตของเขา
ซึ่งแตกต่างจากเงินเพียงเล็กน้อยที่เพื่อนเป็นหนี้เขาอยู่
สิ่งนี้ทำให้เราต้องตระหนักว่า ความผิดที่คนอื่นทำต่อเรา เทียบไม่ได้กับความผิดที่เราทำต่อพระเจ้า
แต่พระเจ้าทรงพระทัยเมตตากรุณา ทรงอภัยความผิดของเราเสมอ เราจึงต้องให้อภัยคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน
ในทางจิตวิทยา การไม่ยอมให้อภัยนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานในจิตใจ การให้อภัย
ไม่เพียงส่งผลดีต่อสุขภาพจิตแต่ยังส่งผลดีต่อชีวิตจิตของเราด้วย ดังนี้
พระเยซูเจ้าจึงสอนให้เรารักผู้อื่นแม้เขาจะทำไม่ดีต่อเรา ให้อภัยเขาด้วยใจจริง ไม่ตอบแทนความชั่วด้วยความเกลียดชังหรือการแก้แค้น
แต่ด้วยความรักและการให้อภัย หากเราไม่ทำเช่นนี้ไม่ใช่พระเจ้าที่ลงโทษเรา
แต่เป็นเราที่ทำร้ายตัวเอง เราจะมีความรู้สึกทุกข์ใจไม่เป็นสุข ในทางกลับกัน
การให้อภัยย่อมนำสันติสุขแท้มาสู่จิตใจของผู้ให้อภัยและผู้ได้รับการอภัยเสมอ
2. บทเรียนสำหรับเรา
คำอุปมาในพระวรสารวันนี้
ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในเรื่องการให้อภัย
ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเชื่อและการปฏิบัติแบบคริสตชน
ประการแรก
จงให้อภัยเพื่อจะได้รับการอภัย การให้อภัยเพื่อนพี่น้องด้วยจริงใจ
คือเงื่อนไขสำคัญหากเราต้องการให้พระเจ้าอภัยบาปเรา “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า
เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น” (มธ 6:12) การคืนดีกับเพื่อนพี่น้องย่อมประเสริฐกว่าการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
เราคืนดีกับพระเจ้าไม่ได้ หากเราไม่คืนดีกับเพื่อนพี่น้อง เราให้อภัยพี่น้องไม่ได้
ถ้าพระเจ้าไม่ให้อภัยเราก่อน
ประการที่สอง
จงเป็นผู้ใจดีมีเมตตา พระเจ้าทรงเมตตากรุณาต่อเราก่อนเสมอ
“พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว
โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม”
(มธ 5:45) ทรงส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์มาในโลกเพราะความรัก
เราจึงต้องมีใจเมตตาต่อกัน “ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข
เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา” (มธ 5:7)
ความเมตตากรุณาของพระเจ้าขึ้นอยู่กับความเมตตาของเราต่อผู้อื่น ผู้รับใช้ไร้เมตตาคนนั้นได้รับโทษ
เพราะขาดความเมตตาต่อเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งได้รับความเมตตาอย่างใหญ่หลวงจากกษัตริย์
ประการที่สาม
จงเป็นคนแรกที่ให้อภัย การให้อภัยเป็นเรื่องที่ยากลำบากเสมอ
โดยเฉพาะกับคนที่ปฏิเสธการให้อภัยของเรา แต่ความรักของพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนพี่น้อง
เรียกร้องให้เราเป็นคนแรกที่ให้อภัยเสมอ
เพราะพระเจ้าทรงรักและให้อภัยเราอย่างไม่มีสิ้นสุด
แม้เราจะกระทำผิดต่อพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พระองค์ไม่ทรงจดจำความผิดและไม่เคยถือโทษโกรธเคือง
บทสรุป
พี่น้องที่รัก
การให้อภัยคือ เครื่องหมายของการเป็นคริสตชนที่เป็นผู้ใหญ่
ที่เอาใจใส่ต่อเพื่อนพี่น้องด้วยความรัก เป็นต้นในครอบครัว สังคมหรือหมู่คณะ
เพื่อสร้างสัมพันธภาพใหม่ระหว่างสามีภรรยา พ่อแม่ลูก เพื่อนฝูง สมาชิกในคณะหรือแม้กระทั่งศัตรูให้กลับคืนมาอีกครั้ง
บนพื้นฐานแห่งความรักแบบคริสตชนที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราได้เห็นประจักษ์บนไม้กางเขน
ในการให้อภัยผู้ที่ประหารพระองค์
คริสตชนแต่ละคนต้องมีความกระตือรือร้นที่จะให้อภัยเสมอ
ให้อภัยทุกคนและตลอดไป เพราะแต่ละคนล้วนเป็นคนบาป เคยกระทำความผิดมาด้วยกันทั้งนั้น
เราต้องการการให้อภัยและต้องเป็นคนแรกที่พร้อมจะให้อภัย “ใครที่ไม่ยอมให้อภัย
เท่ากับว่าเขาได้ทำลายสะพานที่ต้องใช้ข้าม” (Wilfred
Peterson) และใครที่บอกว่า “ฉันให้อภัยคุณนะ
แต่ฉันจะไม่มีวันลืม” นั่นเป็นวิธีพูดที่แสดงว่าเขาไม่ได้ให้อภัยเลย
ดังนั้น จงให้อภัยและลืมความผิดของกันและกัน เริ่มจากในครอบครัว
สังคมและหมู่คณะของเรา
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว9 กันยายน 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น