การตักเตือนกันฉันพี่น้อง
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา
ปี A
|
อสค 33:7-9
รม 13:8-10
มธ 18:15-20
|
บทนำ
ถ้าแม่คนหนึ่งพบว่าลูกสาววัย
5 ขวบของตนขโมยขนมจากร้านค้า หากเราเป็นแม่คนนั้น เราจะทำอย่างไร กรณีที่สอง
ถ้าลูกชายวัยรุ่นคนหนึ่งพูดกับพ่อว่า “ผมไม่เรียนต่อละนะและไม่ไปทำงานที่ไหน
ผมจะค้ายาบ้า ได้เงินดีด้วย” หากเราเป็นพ่อคนนั้น เราจะบอกลูกของเราอย่างไร
อีกกรณีหนึ่ง ลูกชายวัย 12
ขวบคุยโทรศัพท์กับเพื่อนว่า “ส่งอีเมลการบ้านที่แกทำเสร็จแล้วมาให้ที
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำ” หากเราเป็นผู้ปกครองได้ยินลูกพูดเช่นนี้ จะทำอย่างไร
ช่วงนี้ข่าวการจลาจลในเรือนจำมีความถี่มากขึ้นซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายประการ
ส่วนหนึ่งมาจากประสิทธิภาพของการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังให้เป็นคนดีกลับสู่สังคมอีกครั้งลดน้อยลง
จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้วกระทำผิดซ้ำอีก และถูกจับกลับเข้าคุกอีกครั้ง
จนกลายเป็นปัญหาคนล้นคุก ไม่มีที่เพียงพอสำหรับคุมขังคนที่กระทำความผิด ต้องร้องขอให้สร้างคุกเพิ่ม
หากบิดามารดาให้ความสนใจตักเตือนบุตรหลานของตนตั้งแต่วัยเยาว์
หากสามีภรรยาและเพื่อนมีความซื่อสัตย์ในความรักและมิตรภาพ กล้าตักเตือนซึ่งกันและกันฉันพี่น้อง
บางทีรัฐบาลไม่ต้องเสียงบประมาณสร้างทัณฑสถานเพิ่ม ปัจจุบัน มีเด็กจำนวนมากซึ่งถูกตามใจจนเคยตัวหรือปล่อยปละละเลย
ถูกโอ๋เอาอกเอาใจจนเกิดเหตุ ชีวิตของพวกเขากำลังเดินเข้าสู่ประตูคุก
เนื่องจากไม่มีใครคอยว่ากล่าวตักเตือน ทำให้ดวงตามืดบอดต่อความผิดของตนเองจนสายเกินแก้
พระวรสารวันนี้พูดถึงหน้าที่ที่คริสตชนพึงปฏิบัติต่อกันและกัน
คริสตชนไม่เพียงมีหน้าที่ต้องทำสิ่งถูกต้อง
แต่ยังต้องช่วยคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วย
เราจะต้องเป็นเกลือและแสงสว่างส่องโลก
ที่ฉายแสงให้คนอื่นได้เห็นถึงความรักของพระเจ้า (ดู มธ 5:13-16) พระเยซูเจ้าได้กำหนดหลักพื้นฐานที่เราพึงมีต่อเพื่อนพี่น้อง “เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร
ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด” (ยน 13:34) ความรักจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการปฏิบัติต่อกัน
หนังสือเลวีนิติ ได้วางระเบียบให้ชาวฮีบรูได้ตักเตือนซึ่งกันและกันระหว่างกำลังเร่ร่อนในถิ่นทุรกันดาร
โดยได้ให้แนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “อย่าเกลียดชังพี่น้องของเจ้าอยู่ในใจ แต่เจ้าจงตักเตือนเพื่อนบ้านของเจ้า
เพื่อเจ้าจะไม่ต้องรับโทษเพราะเขา”
(ลนต 19:18)
พระเยซูเจ้าทรงรับเอาคำสอนนี้มาปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด
จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา” (มธ 18:15)
นี่คือ หน้าที่แห่งความรักที่เราพึงปฏิบัติต่อพี่น้องของเรา
อย่าสะดุดใจเมื่อพี่น้องประพฤติผิด เพราะพระศาสนจักรหรือกลุ่มคริสตชน
มิใช่หมู่คณะของนักบุญที่มีความสมบูรณ์พร้อม
แต่เป็นหมู่คณะของคนบาปอ่อนแอและบกพร่อง ที่กำลังมุ่งไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์
เราต้องก้าวเดินไปด้วยกันด้วยความรักและห่วงใยกัน ไม่ทิ้งคนหนึ่งไว้ข้างหลัง แต่พยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้คนที่กระทำผิดได้สำนึกตัว
กลับใจและเดินในหนทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพราะว่า “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์...
ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป” (มธ 18:14)
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวรสารในวันนี้ได้ให้ภาพที่สวยงามของกลุ่มคริสตชน
ที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยกันและกัน
โดยได้ให้แนวปฏิบัติที่ทำให้เราสามารถสร้างมิตรภาพแบบคริสตชนที่แท้จริง
ให้บังเกิดขึ้น
ประการแรก
จงตักเตือนคนที่ทำผิดด้วยความรักแบบพี่น้อง ไม่ตำหนิ
กล่าวโทษหรือด่วนตัดสินจากความผิดที่เขาได้กระทำ พระเยซูเจ้าได้ให้ 3 ขั้นตอนในการตักเตือนกันและกัน เริ่มจากไปพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวอย่างเงียบๆ
และโน้มนำเขาด้วยความรักและความห่วงใย เพื่อสร้างมิตรภาพที่เสียไปให้กลับคืนมาใหม่
หากความพยายามนี้ไร้ผล จงพาอีกคนหรือสองคนไปด้วยเพื่อเป็นพยาน
สุดท้ายจึงแจ้งให้หมู่คณะทราบ เพื่อให้เขาได้ตระหนักว่า
หมู่คณะใส่ใจในตัวเขาและต้องการให้เขากลับคืนมา
ประการที่สอง
จงภาวนาให้คนที่กระทำผิด พระเยซูเจ้าทรงเน้นความสำคัญของการภาวนาแบบหมู่คณะ
“ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนสิ่งหนึ่งสิ่งใด
พระบิดาของเราจะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา
เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา” (มธ 18:19-20) คำภาวนาของหมู่คณะสามารถทำให้ความบาดหมางยุติลง
และนำความเป็นหนึ่งเดียวกลับคืนมาอีกครั้ง
ประการที่สาม
จงรักและให้อภัยคนที่กระทำผิด พระเจ้าคือองค์ความรัก
ที่ใดมีความรักที่นั่นมีพระเจ้า ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าต้องแสดงออกต่อเพื่อนพี่น้อง
และถือเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสุข สันติภาพและความชื่นชมยินดี
เพราะเหตุนี้เองนักบุญเปโลจึงกล่าวว่า “อย่าเป็นหนี้ผู้ใด
นอกจากหนี้ความรักซึ่งกันและกัน” (รม 13:8) และความรักที่แท้จริงคือการให้อภัยความผิดของกันและกันด้วยใจกว้าง
ไม่ถือโทษโกรธเคืองหรือจดจำความผิด
บทสรุป
พี่น้องที่รัก
แม้การตักเตือนซึ่งกันและกันจะเป็นเรื่องลำบากใจ แต่ในฐานะที่เราอยู่ในสังคม เป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ
เรามีความรับผิดชอบต่อสังคมและหมู่คณะของเรา
พระเจ้าทรงมอบบางคนให้อยู่ในความรับผิดชอบของเรา เช่น บุตรหลาน ลูกศิษย์ ลูกน้อง
เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน คู่ชีวิตหรือสมาชิกในคณะ ฯลฯบุคคลเหล่านี้ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของเรา
ที่เราต้องช่วยเขาให้เดินในหนทางที่ถูกต้อง
เราคริสตชนมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องตักเตือนซึ่งกันและกัน
ด้วยความรักและความใส่ใจแบบพี่น้อง ซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญ ความอดทน
ความสุภาพอ่อนโยน ความจริงใจและความปรีชาฉลาด ทั้งนี้เพื่อรักษาชื่อเสียงและช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้กระทำสิ่งถูกต้อง
โดยเริ่มจากในครอบครัวของเราเป็นอันดับแรก พ่อแม่มีหน้าที่ตักเตือนบุตรหลาน
พี่ตักเตือนน้อง ผู้อาวุโสตักเตือนผู้น้อยกว่า และผู้น้อยจะต้องเชื่อฟังคำว่ากล่าวของผู้ที่อาวุโส
นี่คือหน้าที่แห่งความรักที่เราไม่อาจปฏิเสธได้
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว2 กันยายน 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น