ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส
วันที่ 24 ธันวาคม
สมโภชพระคริสตสมภพ
(มิสซากลางคืน)
|
อสย 9:2-7
ทต 2:11-14
ลก 2:1-14
|
บทนำ
ความกดอากาศต่ำและสายลมที่พัดผ่านทำให้ความหนาวแผ่ปกคลุมทุกพื้นที่ เป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่บอกให้ทราบว่าคริสต์มาสมาถึงแล้ว
แสดงให้เห็นถึงพระยุติธรรมของพระเจ้าที่โปรดให้ทุกคนได้สัมผัสกับความหนาวเย็นกันทั่วหน้า จะต่างก็ตรงที่ว่า
คนฐานะดีมีที่กำบังกายและเครื่องอำนวยความสะดวกช่วยให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น
ในขณะที่คนขัดสนไม่มีสิ่งเหล่านี้
ต้องอาศัยไออุ่นจากกองไฟเป็นเครื่องบรรเทาความหนาวเย็นในยามค่ำคืน
ในคืนอันหนาวเหน็บของวันคริสต์มาสนี้เอง
พระเยซูเจ้า บุตรพระเจ้าผู้ไถ่โลกได้บังเกิดเป็นมนุษย์ การบังเกิดมาของพระองค์คือ เครื่องหมายแห่งความรักและความโปรดปรานของพระเจ้า
ที่ทรงประทานพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ให้มารับสภาพมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา
กุมารนี้ทรงเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าเหนือของขวัญล้ำค่าใดๆ ในโลก
เพราะกุมารนี้คือองค์แห่งความรัก ความหวัง และสันติสุขที่แท้จริงสำหรับโลกและมนุษยชาติ
เรื่องราวการประสูติของพระกุมารเยซูที่เราได้ยินในพระวรสารโดยนักบุญลูกา
(ลก 2:1-14) เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ได้ออกกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วอาณาจักรโรมัน
จากบันทึกบนกระดาษปาไปรัส (Papyrus)
ที่ค้นพบในอียิปต์ คือหลักฐานที่บอกให้ทราบว่ากรุงโรมจัดสำรวจสำมะโนประชากรบ่อยครั้ง
(ทุก 14
ปี) ทั้งนี้ด้วยเหตุผลเพื่อประเมินรายได้จากการจัดเก็บภาษีและการเกณฑ์ทหาร
ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องไปลงทะเบียนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน
1. ไม่มีห้องว่างสำหรับท่าน
ด้วยเหตุนี้ ยอแซฟซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิดต้องพาพระนางมารีย์ที่ครรภ์แก่
เดินทางจากนาซาเร็ธแค้วนกาลิลีไปยังเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย บ้านเกิดของกษัตริย์ดาวิด ระยะทางจากนาซาเร็ธถึงเบธเลเฮมประมาณ
130 กิโลเมตร การเดินทางสมัยนั้นถือว่าไกลมากสำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองเบธเลเฮมยังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาลงทะเบียน
จนกระทั่งไม่มีห้องว่างสำหรับยอเซฟและพระนางมารีย์ผู้กำลังจะคลอดบุตร
ไม่ว่าจะไปที่ไหนคำตอบที่ได้รับคือ
“ไม่มีห้องว่างสำหรับท่าน” ยอแซฟต้องพาพระนางมารีย์ไปที่ถ้ำเลี้ยงสัตว์ เชื่อกันว่าอาจเป็นที่พักสำหรับคนเดินทางมีลักษณะคล้ายเพิงเลี้ยงสัตว์ซึ่งผู้พักแรมต้องนำอาหารติดตัวมาเอง เจ้าของจะจัดเตรียมเพียงฟางหรือหญ้าแห้งสำหรับสัตว์เลี้ยงและไฟสำหรับปรุงอาหารไว้ให้เท่านั้น
ยอแซฟกับพระนางมารีย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถ้ำเลี้ยงสัตว์หรือเพิงพักชั่วคราวสำหรับผู้เดินทางที่เมืองเบธเลเฮม
นี่คือสถานที่ซึ่งพระเยซูเจ้า
บุตรพระเจ้าผู้ไถ่โลกทรงประสูติ พระองค์เลือกที่จะเกิดบนรางหญ้าในสภาพที่ยากจนขัดสน
เพื่อสอนให้โลกรู้ว่า ความยากจนขัดสนไม่ใช่อุปสรรคสำหรับความรักของพระเจ้า
ตรงข้ามความยากจนขัดสนและใจสุภาพถ่อมตนต่างหาก คือหนทางหรือโอกาสที่ทำให้เราได้พบกับพระกุมารเจ้า
ผู้ร่ำรวยด้วยพระพรนานัปการ ทรงเป็นเพื่อนกับคนยากจนและร่วมทุกข์ในความยากลำบากของพวกเขา กระทั่งมอบชีวิตของพระองค์บนกางเขนเพื่อช่วยพวกเขาให้พบหนทางแห่งสันติสุขและความรอด
อีกทั้ง บุคคลกลุ่มแรกที่พระเจ้าทรงเผยให้ทราบข่าวดีเรื่องการประสูติมาของพระผู้ไถ่และได้พบกับพระกุมารคือบรรดาคนเลี้ยงแกะ
ซึ่งถือเป็นผู้ที่
“ต่ำต้อยและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม” จากสังคมโดยเฉพาะคนเคร่งศาสนาอย่างบรรดาคัมภีราจารย์และชาวฟาริสี
ทั้งนี้เพราะอาชีพเลี้ยงแกะที่ต้องร่อนเร่พเนจร ทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของชาวยิวได้สะดวกนัก
แต่การเป็นคนยากจนและต่ำต้อยทำให้พวกเขาได้พบกับพระกุมารเจ้า
นี่คือความสุขและความยินดียิ่งใหญ่ในชีวิต
2. ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส
การบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า
จึงเป็นเครื่องหมายแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเรามนุษย์
แม้เราจะยากจนขัดสนหรือต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาของใครต่อใคร
แต่สำหรับพระเจ้าแล้วไม่ใช่ ความรักของพระองค์สูงส่งไร้ขอบเขตและไม่มีเงื่อนไข
พระองค์ได้มอบและให้พระเยซูเจ้าเป็นของขวัญที่ประเสริฐที่สุดสำหรับโลกและมนุษยชาติในสภาพที่ต่ำต้อยกว่าเราหลายเท่านัก
ดังนั้น เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นช่วงเวลาแห่งพระพรที่ช่วยให้เราได้ไตร่ตรองและตระหนักถึงความรักของพระเจ้า
ด้วยการเปิดดวงใจของเราและประดับตกแต่งถ้ำแห่งดวงใจนี้ด้วยไฟแห่งความรักเพื่อให้องค์พระเจ้าได้บังเกิด
และเป็น “อิมมานูแอล” พระเจ้าอยู่กับเราทุกจังหวะชีวิต
นอกนั้นยังเป็นโอกาสที่เราจะถ่อมใจลงเลียนแบบอย่างจากพระองค์ในความยากจน และดำเนินชีวิตเป็นของขวัญและความยินดีสำหรับผู้อื่นอย่างแท้จริง
ชีวิตของเราจะเป็นของขวัญและความยินดีเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อ
เราดำรงตนในความรักและความมีใจกว้างที่พร้อมจะให้เช่นเดียวกับพระเจ้า ดังคำกล่าวของ
เดล อีเวนส์ (Dale
Evans) นักเขียน นักร้องและนักแสดงที่ว่า “ทุกครั้งที่เรารัก ทุกครั้งที่เราให้นั่นคือคริสต์มาส” (Every
time we love, every time we give, it’s Christmas) ความรักและการให้จึงเป็นจิตตารมณ์ที่สำคัญของคริสต์มาส เป็นโอกาสที่ความรักของพระเจ้าและความรักของมนุษย์จะขจัดความเกลียดชังและความยากจนให้หมดสิ้นไป
บทสรุป
พี่น้องที่รัก เทศกาลคริสต์มาส เป็นช่วงเวลาของการเสียสละแบ่งปันสิ่งที่เรามีแก่ผู้อื่น
นักบุญฟรังซิส อัสซีซี กล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าในตู้เสื้อผ้าของท่าน
มีเสื้อผ้าที่ท่านไม่ใช้แล้ว พึงรู้ไว้ด้วยว่านั่นเป็นของคนยากจนที่ไม่มีแม้เสื้อผ้าจะใส่
ถ้าในตู้กับข้าวของท่าน มีกับข้าวที่ท่านไม่ทานแล้ว พึงรู้ไว้ด้วยว่านั่นเป็นส่วนของคนที่กำลังอดอยาก” หากเราไม่มีของขวัญอะไรจะให้ก็จงให้ความรักนั้นออกไป “ความรักคือความเชื่อในภาคปฏิบัติ”
ตามคำสอนของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา และความรักในภาคปฏิบัติคือการรับใช้หรือการให้
โลกเราทุกวันนี้มีคนที่ขาดความรัก
อดอยาก และขาดแคลนมากมายที่รอคอยความรัก ของขวัญ และความช่วยเหลือจากเรา
พวกเขาเหล่านี้อาจอยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานของเรา บางครั้งสิ่งของเครื่องใช้ที่เราไม่ใช้แล้วหรือไม่จำเป็นสำหรับเรา อาจเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่และมีค่ายิ่งสำหรับพวกเขา
คริสต์มาสปีนี้อย่าลืมให้ความรักและแบ่งปันสิ่งที่เรามีมอบเป็นความสุขสำหรับผู้ยากไร้และด้อยโอกาสทั้งหลาย เพื่อว่า
การบังเกิดมาของพระกุมารเยซูจะเป็นความชื่นชมยินดีสำหรับครอบครัวของเรา หมู่คณะและมนุษยชาติ
อย่าทำตัวเย็นชาเฉยเมยอย่างชาวเมืองเบธเลเฮมที่บอกยอแซฟว่า
“ไม่มีห้องว่างสำหรับท่าน” แต่เปิดดวงใจของเราด้วยความรักและการเสียสละแบ่งปัน
ทุกครั้งที่เรารักและรู้จักให้นั่นคือคริสต์มาส เช่นนี้เอง ความสุข ความยินดีและสันติภาพจะเกิดขึ้นในโลก
และการฉลองคริสต์มาสในปีนี้จะมีคุณค่าและความหมายมากกว่าปีที่ผ่านมา “สุขสันต์วันคริสต์มาส”,
Merry
Christmas!, Buon Natale!
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย
สมโภชพระคริสตสมภพ; 24 ธันวาคม 2009
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น