วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

อคติและความใจแคบ


 อคติและความใจแคบ 
วันเสาร์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
ยรม 11:18-20
ยน 7:40-53

มีเรื่องเล่าว่า พ่อค้าชาวยิวร่ำรวยคนหนึ่งได้แสดงกิริยาหยาบคายและดูถูกชายแก่ที่เดินทางมาด้วยรถไฟตู้เดียวกัน เมื่อทั้งสองถึงที่หมายพ่อค้าสังเกตเห็นสถานีรถไฟคลาคล่ำไปด้วยชาวยิว ที่รอต้อนรับและแสดงความยินดีกับรับบีผู้ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในยุโรป เมื่อรู้ว่าชายแก่ที่นั่งมาในตู้เดียวกันเป็นรับบีผู้ยิ่งใหญ่ พ่อค้ารู้สึกละอายในพฤติกรรมไม่เหมาะสม และรู้สึกเสียดายที่พลาดโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้ทรงความรู้และศักดิสิทธิ์คนนั้น
เมื่อพระนางมารีย์กับนักบุญยอแซฟนำพระกุมารไปถวายในพระวิหาร ผู้เฒ่าสิเมโอนได้ทำนายถึงพระกุมารว่า “พระเจ้าทรงกำหนดให้กุมารนี้เป็นเหตุให้คนจำนวนมากในอิสราแอลต้องล้มลง หรือลุกขึ้น และเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อต้าน...” (ลก 2:34-35) คำทำนายนี้เป็นจริงในพระวรสารวันนี้ หลังจากได้ฟังพระเยซูเจ้าตรัส ประชาชนจำนวนมากเกิดความสับสนมีความเห็นแตกต่างกัน บางคนเห็นว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ที่พวกเขารอคอย บางคนมองว่าพระคริสต์จะมาจากแคว้นกาลิลีได้อย่างไร
ประชาชนมองพระเยซูเจ้าในแง่ดี เพราะได้รับการเยียวยารักษาให้หายจากการป่วยไข้ ได้ฟังคำสอนทรงคุณค่าอย่างที่ไม่เคยเห็นใครสอนมาก่อน หรือได้รับความเห็นอกเห็นใจเป็นเพื่อนกับพวกเขาอย่างที่ไม่มีรับบีคนไหนเคยทำ ส่วนพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีที่มีการศึกษาสูงมองพระเยซูเจ้าในทางตรงข้าม พวกเขาประณาม ใส่ร้ายพระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ไม่อยู่กับร่องกับรอยเพราะไม่ถือกฎวันสับบาโต และหาช่องทางกำจัดพระองค์
พระวรสารวันนี้เราได้เห็นพวกเขาดูถูกพระเยซูเจ้าเรื่องที่มาของพระองค์ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระคริสตเจ้ามาจากแคว้นกาลิลี ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมเทียบไม่ได้กับแคว้นยูเดีย พวกเขาต้องการบอกว่าสามสิบปีที่นาซาแร็ธพระองค์ไม่มีอะไร เป็นเพียงเด็กหนุ่มโกโลโกโสลูกของช่างไม้ที่ไม่มีใครรู้จัก นี่คืออคติและความใจแคบของพวกเขา ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสทองในการได้รับการเยียวยารักษาและได้รับพระเมตตาจากพระองค์
หากตัดอคติและความใจแคบออกไป เราจะพบความรักของพระเจ้าที่ทรงดูแลเอาใจใส่และช่วยเหลือเราเสมอ เราไม่ควรแบ่งแยกหรือมองคนอื่นเพียงชาติกำเนิด ที่มา หรือฐานะทางสังคม มิฉะนั้นเราจะมองไม่เห็นพระญาณสอดส่องและความรักของพระเจ้า ความหลากหลายทำให้โลกสวยงามและทำให้ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปรากฏ เราได้รับสิทธิพิเศษให้รู้จักพระเจ้า ราได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีทำให้คนอื่นรู้จักพระเจ้าไหม หรือทำตัวเป็น “ผู้นำทางตาบอด” อย่างพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี
พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพื่อนำชีวิต พระหรรษทาน และปรีชาญาณมาให้เรา พันธกิจของพระองค์คือการนำทุกคนเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ ศิษย์พระคริสต์ต้องลดอคติและความใจแคบเพื่อเปิดใจรับความจริงและมองเห็นความดีของกันและกัน ด้วยท่าทีและทัศนคติเช่นนี้จะช่วยลดความขัดแย้งในสังคมปัจจุบัน นำมาซึ่งความเข้าใจอันดีและสันติสุขแท้จริงในครอบครัว สังคม หมู่คณะ และชาติบ้านเมือง
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
31 มีนาคม 2017
ที่มาภาพ: https://i2.wp.com/sanjuanbautista.demonovar.es/wp-content/uploads/sites/3/2017/10/jesus-y-fariseos.jpg

โบสถ์เก่าคำเกิ้ม

โบสถ์เก่าคำเกิ้ม
“โบสถ์เก่าคำเกิ้ม” หรือวัดเก่าโบราณที่บ้านคำเกิ้ม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เป็นวัดคาทอลิกหลังที่ 3 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อจากวัดแม่พระนฤมลทิน บุ่งกะแทว อุบลราชธานี (ค.ศ. 1898) และวัดมหาพรหมมีคาแอล ท่าแร่ สกลนคร (ค.ศ. 1906) ขณะที่วัดเก่าคำเกิ้มสร้างเสร็จ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เมื่อวัดเก่าที่บุ่งกะแทวและท่าแร่ถูกรื้อเพื่อสร้างอาสนวิหารใหม่ วัดเก่าคำเกิ้มจึงเป็นวัดคาทอลิกเพียงหลังเดียวที่เหลืออยู่ และเป็นวัดคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปัจจุบัน
วัดเก่าคำเกิ้มก่อสร้างโดยคุณพ่อเฟรสแนล พระสงฆ์คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (MEP) เมื่อ .. 1904 (.. 2447) มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างตะวันตกกับตะวันออก โครงสร้างผนังก่ออิฐถือปูนแข็งแรงแบบยุโรป แต่โครงหลังคาทำด้วยไม้และหลังคามุงไม้แป้นเหมือนบ้านชาวอีสานสมัยนั้น เมื่อสร้างเสร็จมีพิธีเสกและเปิดอย่างยิ่งใหญ่โอกาสสมโภชนักบุญยอแซฟ วันที่ 19 มีนาคม ค.. 1907 (.. 2450) โดยพระสังฆราชยัง มารีย์ กืออ๊าส  คุณพ่อกองสตังต์ ยัง บัปติสต์ โปรดม และบรรดาธรรมทูต 
 วัดเก่าคำเกิ้มหลังที่ 2 สร้างโดยคุณพ่อเฟรสแนล ค.ศ. 1904-1907
ด้านหน้ามีประตูใหญ่เหนือประตูมีคิ้วบัวโค้งรับกับประตู เหนือขึ้นไปเป็นช่องแสงวงกลมแต่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ยังคงปรากฏรัศมีเป็นโครงไม้สวยงาม ภายในมีช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ใส่กระจกสีแบบปิดตายข้างละ 6 ช่อง ส่วนด้านล่างสุดเป็นบานไม้สามารถเปิดรับลมได้ ด้านหลังมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม มีพระแท่นอยู่ตรงกลางในลักษณะหันหลังให้สัตบุรุษเหมือนวัดเก่าทั่วไป และปีกซ้ายขวาเป็นโครงหลังคายื่นออกไปสำหรับเป็นห้องซาคริสเตียและห้องฟังแก้บาป มีประตูเข้าจากด้านนอก
วัดเก่าคำเกิ้มได้ใช้เป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนพิธีเป็นเวลานาน จนกระทั่ง ค.. 1940 (.. 2483)  เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนและการเบียดเบียนศาสนา มีผู้ขอซื้อโครงหลังคาทำด้วยไม้ในราคาถูก แต่ชาวคำเกิ้มไม่ยอม และกลายเป็นสาเหตุของการถูกลอบวางเพลิงโดยผู้ไม่หวังดี 3 คน ทำให้โครงหลังคาวอดเป็นเถ้าถ่าน โครงสร้างภายนอกที่ก่ออิฐถือปูนยังคงยืนตระหง่านอย่างท้าทายไม่ได้รับความเสียหาย แต่ไม่สามารถใช้การได้และถูกทิ้งร้าง คุณพ่อฟรันเชสโก อันเดรโอนี ได้สร้างวัดชั่วคราว ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) เพื่อใช้งานแทน
 ภายในวัด โครงหลังคาไม้หลังการบูรณะและช่องหน้าต่างกระจกสีขนาดใหญ่ด้านละ 6 ช่อง
เมื่อคุณพ่อเอดัวร์ ถัง นำลาภ มาทำหน้าที่ดูแล ค.ศ. 1953-1958 (พ.ศ. 2496-2501) ได้คิดรื้อวัดเก่าคำเกิ้มเพื่อสร้างใหม่ ตามคำเล่าของนางทองจันทร์ เทพกรรณ์ วัย 90 ปี (10 มีนาคม 2017) แต่ผู้อาวุโสชาวคำเกิ้มไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้าน ควรเก็บไว้เป็นอนุสรณ์สำหรับชนรุ่นหลัง ดังนั้นจึงได้ทำการบูรณะใหม่โดยใช้ไม้แคนจากภูพาน มุงด้วยสังกะสี ทำกางเขนบนยอดวัดด้านหน้าใหม่ แต่กางเขนนี้ได้ถูกฟ้าผ่าหักพังลงมาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
.. 1958 (.. 2501) คุณพ่อเปาโล สมชาย สลับเชื้อ อธิการและผู้จัดการโรงเรียนสันตยานันท์ นครพนม ได้มาทำหน้าที่ดูแลแทนคุณพ่อเอดัวร์ ถัง นำลาภ ได้บันทึกเอาไว้ว่า
เมื่อมาถึงคำเกิ้มทีแรก รู้สึกเสียใจมาก ที่เห็นวัดและบ้านพักพระสงฆ์ถูกทำลาย เฉพาะวัดถูกเผา เดิมวัดนี้หลังคาเป็นไม้ มาในสมัยสงครามอินโดจีนวัดถูกปิดเพราะการเบียดเบียนศาสนา ครู (กง) ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลอยากซื้อหลังคาวัดด้วยราคาถูก ชาวบ้านไม่ยอมเลยเผาทั้งวัดทั้งหลังคาสิ้น เลยกลายเป็นวัดร้างมาแต่สมัยนั้น มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด
 พระแท่นแบบหันหลังให้สัตบุรุษและพระรูปพระเยซูเจ้าที่ติดกางเขน
อนึ่ง หลังการบูรณะวัดเก่าคำเกิ้มได้ใช้งานต่อมาอีกนานหลายปี  จนถึงเวลาที่คุณพ่อราฟาแอล คาร  โสรินทร์ สร้างวัดหลังปัจจุบัน(หลังที่ 4) เสร็จ ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) วัดเก่าคำเกิ้มจึงไม่ได้ใช้งานอีก แต่ยังคงยืนตระหง่านอย่างโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ของคำเกิ้ม ดังคำขวัญของหมู่บ้านที่ว่า “โบสถ์เก่าเล่าขาน กำแพงโบราณ น้ำผึ้งแท้ แตงกวาหวาน หัตถกรรมพื้นบ้าน สมัครสมานสามัคคี ถิ่นนี้คือคำเกิ้ม” เป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวและผู้พบเห็นให้ต้องมาเก็บภาพเป็นที่ระลึก
ในโอกาสแห่งความชื่นชมยินดีที่ ยอแซฟ อุทัย พองพูม ลูกวัดคำเกิ้มได้รับแต่งตั้งเป็นบุญราศีแห่งเมืองลาวจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส และมีพิธีเฉลิมฉลองเป็นพิเศษที่วัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม วันเสาร์ที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2016) อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงได้ทำโครงการปฏิสังขรณ์วัดเก่าคำเกิ้ม ให้เป็นสักการสถานและมรดกทางความเชื่อสำหรับอนุชนรุ่นหลัง เชื่อแน่ว่าแรงศรัทธาและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน จะทำให้โครงการนี้สำเร็จในอนาคตอันใกล้
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
31 มีนาคม 2017; โอกาสครบรอบ 23 ปีแห่งชีวิตสงฆ์
ภาพเก่าและพื้นที่โดยรอบ เห็นผนังบ้านพักพระสงฆ์ที่พังทลายและต้นมะม่วงใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม

บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม
ในบรรดาบุญราศีลาว 17 องค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง ณ อาสนวิหารพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า เวียงจันทน์ วันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) มีคนไทยอยู่ด้วยหนึ่งคนคือ บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม สัตบุรุษวัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม เป็นครูคำสอนและผู้ช่วยคนสำคัญของคุณพ่อโนแอล เตอโน ก่อนพลีชีพเป็นมรณสักขีด้วยกันใกล้เมืองพะลานเขตเซโปน แขวงสะหวันนะเขต และได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีในคราวเดียวกัน
อุทัย พองพูม เกิดที่บ้านคำเกิ้ม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม หมู่บ้านคริสตชนเก่าแก่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของการแพร่ธรรมในอดีต เราไม่ทราบแน่ชัดว่าอุทัย พองพูมเกิดเมื่อไหร่ เนื่องจากไม่พบหลักฐาน มีเพียงเอกสารศีลสมรสที่อ้างถึงวันที่ได้รับศีลล้างบาป วันสมโภชพระคริสตสมภพ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476)  ที่วัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม โดยเป็นบุตรของเปาโล เครือกับอันนา ผาน พองพูม
วัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม หลังที่ 2 ซึ่งอุทัย พองพูมได้รับศีลล้างบาป
     ในห้วงเวลาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และกรณีพิพาทอินโดจีน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) บรรดาธรรมทูตชาวฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกนอกประเทศ รวมถึงคุณพ่อโนแอล เตอโน เจ้าอาวาสวัดคำเกิ้ม วัดวาอารามถูกปิดและเกิดการเบียดเบียนศาสนา เด็กชายอุทัย พองพูม วัย 7 ขวบ รับรู้ถึงบรรยากาศแห่งความยากลำบากเคียงข้างบิดา เมื่อสงครามและการเบียดเบียนศาสนาสิ้นสุดลง ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) เด็กชายอุทัย พองพูมในวัย 12 ปีได้ถูกส่งเข้าบ้านเณร
          หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา อุทัย พองพูมได้ออกจากบ้านเณรกลับมาใช้ชีวิตที่คำเกิ้ม ช่วยงานครอบครัวและพระศาสนจักรด้วยการเป็นครูคำสอน ต่อมาได้พบรักและแต่งงานกับมารีอา คำตัน ทองคำ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496)  หลังจากนั้นภรรยาได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาว แต่ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจและเศร้าสลดอย่างยิ่งเมื่อภรรยาเสียชีวิตขณะให้กำเนิด และ 3 เดือนต่อมาบุตรสาวได้เสียชีวิตตามมารดา 
หลักฐานการรับศีลสมรสของอุทัย พองพูม ซึ่งเป็นหลักฐานเดียวที่มีอยู่
     หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี คุณพ่อโนแอล เตอโนอดีตเจ้าอาวาสซึ่งเป็นอุปสังฆราชมิสซังท่าแขก ได้กลับไปเยี่ยมสัตบุรุษที่คำเกิ้ม และกำลังต้องการบุคลากรไปช่วยงานแพร่ธรรมในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของมิสซังใหม่ คุณพ่อโนแอล เตอโนได้ชักชวนครูอุทัย พองพูมไปเป็นครูคำสอนที่ประเทศลาว และได้กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการสอนคำสอน เยี่ยมเยียนชาวบ้าน และให้ความช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและเจ็บป่วยตามหมู่บ้านต่างๆ โดยเฉพาะที่บ้านป่งกิ่ว เมืองหนองบก แขวงคำม่วน ค.ศ. 1955-1958 (พ.ศ. 2498-2501)  เป็นเวลา 4 ปี
ประมาณเดือนเมษายน ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) คุณพ่อโนแอล เตอโนได้เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 1 ปี ถือเป็นห้วงเวลาแห่งการทดลองของครูอุทัย พองพูม ทำให้ตัดสินใจเดินทางกลับคำเกิ้มบ้านเกิด และได้พบกับคุณพ่อมีคาแอล เกี้ยน เสมอพิทักษ์ ที่ไปถวายมิสซาที่วัดคำเกิ้ม ต่อมาเมื่อได้รับการแต่งตั้งและอภิเษกเป็นพระสังฆราชมิสซังท่าแร่ ได้ชักชวนครูอุทัย พองพูมไปอยู่ด้วยเพื่อเป็นกำลังสำคัญในทีมแพร่ธรรม (Ad gentes)
คุณพ่อโนแอล เตอโน ผู้เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของครูอุทัย พองพูม
ครูอุทัย พองพูมอยู่กับพระสังฆราชเกี้ยน เสมอพิทักษ์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อคุณพ่อโนแอล เตอโนกลับจากประเทศฝรั่งเศส และได้รับมอบหมายให้บุกเบิกเขตแพร่ธรรมใหม่ในแขวงสะหวันนะเขต ได้ไปขอครูอุทัย พองพูมจากพระสังฆราชเกี้ยน เสมอพิทักษ์ เมื่อพ่อลูกพบหน้ากันต่างร้องไห้กอดกันกลม คุณพ่อโนแอล เตอโนได้พูดกับครูอุทัย พองพูมว่า “เราจะตายด้วยกันและไปสวรรค์ด้วยกัน” เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นมรณสักขีด้วยกัน
ที่สุด ครูอุทัย พองพูมได้ติดตามคุณพ่อโนแอล เตอโนไปประเทศลาวอีกครั้ง เพื่อแพร่ธรรมเขตเมืองเชโปนที่ยังไม่มีวัดและคริสตชนเลย  เดือนเมษายน ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ขณะที่คุณพ่อโนแอล เตอโนและครูอุทัย พองพูมกำลังเยี่ยมเยียนคริสตชนสำรองระหว่างสะหวันนะเขตกับเซโปน ทหารเวียดนามเหนือได้จับตัวท่านทั้งสองและมอบให้ทหารลาว(คอมมิวนิสต์)ใกล้เมืองพะลาน และไม่มีใครได้พบท่านทั้งสองอีกเลย สันนิษฐานว่าทั้งสองถูกยิงเสียชีวิต วันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) นับเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายที่ไม่มีวันกลับ
     บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม ได้ดำเนินชีวิตซื่อสัตย์ต่อความเชื่อคริสตชน รับใช้ประชากรของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ และสละชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้า เพื่อทำให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความรักของพระเจ้าและข่าวดีแห่งสันติสุข ความยุติธรรม ความรักเมตตา และการให้อภัยที่พระเยซูเจ้าทรงสอน ท่านได้เลียนแบบพระอาจารย์เจ้าจนถึงที่สุดคือความตายบนไม้กางเขน และได้แสดงให้เห็นว่าความตายมิใช่สิ่งที่น่ากลัวและสูญเปล่า แต่ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ทำให้พระศาสนจักรเติบโตและเกิดผล
แม้เราจะพบข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับยอแซฟ อุทัย พองพูมน้อยมาก แต่เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าท่านและเพื่อนมรณสักขีอีก 16 ท่านได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสให้เป็น “บุญราศี” อันเป็นวีรกรรมที่ควรยกย่องและเป็นความชื่นชมยินดีของพระศาสนจักรทั้งมวล โดยเฉพาะต่อคริสตชนวัดนักบุญยอแซฟคำเกิ้มและคริสตชนในอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ที่ควรเลียนแบบวีรกรรมของท่านอย่างซื่อสัตย์และกล้าหาญ อีกทั้ง วอนขอพระพรจากพระเจ้าผ่านทางคำเสนอวิงวอนของท่าน ให้สามารถสานต่อมรดกทางความเชื่อนี้สืบไป
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
30 มีนาคม 2017

การเป็นพยานความจริง

 การเป็นพยานความจริง 
วันศุกร์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
ปชญ 2:1, 12-22
ยน 7:1-2, 10, 25-30
บทอ่านวันนี้พูดถึงการทดลองและการเฝ้าดูแลของพระเจ้า หนังสือปรีชาญาณได้ให้ภาพล่วงหน้าถึงชะตากรรมที่พระเยซูเจ้าต้องเผชิญเราจงดักซุ่มทำร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำให้เรารำคาญใจ (ปชญ 2:12) คนอธรรมโกรธแค้นเมื่อเห็นคนชอบธรรมประพฤติต่างไปจากพวกเขา จึงวางแผนทำร้าย ทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงวิจิตรวาทการจงทำดีแต่อย่างเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินที่คือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมทุกยุคสมัย
พระเยซูเจ้าแม้ทรงกระทำแต่ความดี แต่ยังมีคนเกลียดชัง ชีวิตของพระองค์กลายเป็นที่มาของความขัดแย้งของคนเป็นจำนวนมาก และเป็นเป้าหมายของการกำจัด เราในฐานะศิษย์ของพระองค์คงไม่อยู่เหนือกว่าอาจารย์ พระวรสารวันนี้ชาวยิวและผู้นำศาสนากำลังหาโอกาสประหารพระองค์ ทรงล่วงรู้แผนการนี้จึงเลี่ยงการเดินทางไปแคว้นยูเดีย มิใช่กลัวการถูกจับกุมแต่เวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง
กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้ายังปฏิบัติตามธรรมเนียมยิวในการเสด็จไปกรุงเยรูซาเร็ม เพื่อฉลองเทศกาลอยู่เพิงเหมือนชาวยิวทั้งหลาย แม้เป็นการไปเงียบๆ ไม่ประสงค์ให้ใครเห็น แต่เมื่อโอกาสเหมาะมาถึง พระองค์ไม่ทรงลังเลในการตรัสถึงที่มาและพันธกิจของพระองค์เรามิได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา (ยน 7:28)
ในชีวิตประจำวันเรารู้สึกกลัวการทำความดี การเป็นพยานความจริง และความถูกต้องชอบธรรมตามความเชื่อคริสตชนไหม เราได้ใช้โอกาสที่มีพูดถึงพระเจ้ากับเพื่อนบ้านหรือเพื่อนของเรามากน้อยเพียงใด หรือเราไม่กล้าพูดถึงเรื่องศาสนาเพราะกลัวการถูกเยาะเย้ยถากถาง ไม่กล้าแสดงตนเป็นคริสตนเป็นศิษย์พระคริสต์ด้วยซ้ำ 
เรากำลังก้าวเดินเข้าใกล้เทศกาลปัสกา ศิษย์พระคริสต์ต้องเลียนแบบพระเยซูเจ้าในการปฏิบัติตามแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า กล้าพูดถึงพระเจ้าที่เราเชื่อ และกล้าเป็นพยานความจริงและความถูกต้องชอบธรรม นี่คือที่มาและเป้าหมายแห่งการเป็นศิษย์พระคริสต์ของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com

San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
30 มีนาคม 2017

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

พยานของพระเยซูเจ้า



 พยานของพระเยซูเจ้า 
วันพฤหัสบดี
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
อพย 32:7-14
ยน 5:31-47
การที่พระเยซูเจ้ารักษาคนเจ็บป่วยในวันสับบาโตและเอ่ยนามพระบิดาเจ้า ทำให้ชาวยิวรับไม่ได้และไม่เชื่อพระองค์ พระวรสารวันนี้เราได้เห็นพระเยซูเจ้าเอ๋ยนามพยานทั้งห้า เพื่อยืนยันความจริงเกี่ยวกับพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พันธกิจแห่งพระเจ้าในตัวพระองค์ พยานเหล่านี้ได้ประกาศว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ และได้เป็นพยานถึงความจริงเกี่ยวกับพระองค์ เพื่อประชาชนจะได้ยอมรับและเชื่อในพระองค์
พยานแรก พระบิดาเจ้า ผู้ส่งพระเยซูเจ้ามา งานที่พระองค์ทรงกระทำอยู่เป็นเครื่องยืนยันว่าพระบิดาได้ทรงส่งพระองค์มา เฉพาะผู้ที่มีพระวาจาของพระเจ้าในจิตใจเท่านั้นสามารถเห็นถึงการเป็นพยานของพระบิดาเจ้า “พระบิดาทรงส่งเรามายังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วย” (ยน 5: 31)
พยานที่สอง ยอห์น บัปติสต์ ซึ่งเป็นพยานบุคคลที่ประชาชนยอมรับ ยอห์นได้ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าคือผู้ที่เสด็จมา “นี่คือลูกแกะพระเจ้า” อีกทั้งยังบอกให้ศิษย์ของท่านติดตามพระองค์ในฐานะผู้นำคนใหม่ ส่วนท่านเป็นแต่เพียงผู้นำทางหรือเสียงร้องในถิ่นทรกันดาร “พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง” (ยน 3:30)
พยานที่สาม งานที่น่ามหัศจรรย์ ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ อาทิ การรักษาคนเจ็บป่วย อัศจรรย์และเครื่องหมายต่างๆ เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพระเยซูเจ้ายิ่งใหญ่กว่ายอห์น พระองค์คือพระเจ้าที่เท่าเสมอพระบิดา งานที่ทรงกระทำประกาศตัวมันเองเพราะ “เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น” (ลก 6: 44)
พยานที่สี่ หนังสือพระคัมภีร์ ได้แก่ เพลงสดุดี หนังสือปรีชาญาณ และหนังสือประกาศก พระเยซูเจ้าทรงบอกผู้ฟังของพระองค์ให้แสวงหาความจริงในพระคัมภีร์ที่อ้างถึงพระองค์ การเสด็จมาของพระองค์เป็นการทำให้คำทำนายเกี่ยวกับพระองค์ในพันธสัญญาเดิมเป็นความจริง
พยานที่ห้า โมเสส พระเยซูเจ้าได้อ้างประกาศกผู้ยิ่งใหญ่อย่างโมเสส ผู้ประทานบัญญัติแก่ชาวยิว โมเสสได้อ้างถึงการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ ซึ่งพระเยซูเจ้าได้เตือนพวกเขาว่าข้อความตอนนี้เขียนถึงพระองค์ อีกทั้งในการจำแลงพระกายที่ภูเขาทาบอร์ โมเสสและเอลียาห์ได้ปรากฏมาหาพระองค์
พยานที่พระเยซูเจ้าอ้างคือคำตอบสำหรับชาวฟาริสี ที่ปฏิเสธการรักษาคนเจ็บป่วยในวันสับบาโตของพระองค์ ทำให้พวกเขาได้รู้ถึงพระญาณสอดส่องและความรักที่ห่วงใยของพระเจ้า ความเชื่อของเราคริสตชนในองค์พระเยซูเจ้าอยู่ในระดับใดของชีวิต หากอยู่เพียงระดับความรู้ทางสติปัญญาเหมือนฟาริสี มหาพรตคงคงเป็นเพียงการปฏิบัติตามปฏิทินของพระศาสนจักร ไม่ได้มีคุณค่าใดๆ ต่อชีวิตของเรา
ดังนั้น ศิษย์พระคริสต์ต้องแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อรักพระองค์ให้มากขึ้น อย่างนักบุญอัลแซล์มนักปราชญ์ของพระศาสนจักร พระเจ้าอาจใช้เราเป็นเครื่องมือเพื่อให้คนอื่นรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ บางทีพระองค์อาจใช้คนอื่นเพื่อสอนหรือช่วยแก้ไขเราให้ถูกต้อง บนหนทางแห่งความรอดและถูกต้องชอบธรรม ทำให้เทศกาลมหาพรตมีความหมายสำหรับชีวิตเรามากกว่าทุกปี
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
29 มีนาคม 2017

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความรักของแม่

 ความรักของแม่ 
วันพุธ
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
อสย 49:8-15
ยน 5:17-30
เล่ากันว่า ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการจัดการกับผู้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ เช่น ประหารชีวิตทันทีหากจับได้ว่าก่อความไม่สงบ มีครั้งหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ตลาดสดกาญจนบุรี จอมพลสฤษดิ์ได้สั่งให้ตำรวจจับตัวผู้ลอบวางเพลิงและสั่งประหารชีวิตทันทีกลางตลาดนั่นเอง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ก่อนการประหารชีวิต ปรากฏมีผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ระร่ำระลักท่ามกลางฝูงชนที่มามุงดูว่า “อย่าฆ่าเขาๆ” และพยายามเข้าไปขอร้องตำรวจ แต่ตำรวจยืนยันว่าเด็กหนุ่มคนนี้ทำผิดลอบวางเพลิงก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง ต้องประหารตามคำสั่งของผู้นำประเทศ หญิงคนนั้นยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ พูดว่า “อย่าฆ่าเขา เขาเป็นลูกของฉันๆ” เมื่อตำรวจประหารเด็กหนุ่มคนนั้นเธอเป็นลมล้มพับไป
รักแท้นิรันดรคือความรักของแม่ หัวใจของแม่พองโตและยิ่งใหญ่จนมองไม่เห็นความผิดใดๆ ที่ลูกทำ สิ่งที่แม่มองเห็นตลอดเวลาคือความเป็นลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรความรักของแม่ไม่เคยแปรเปลี่ยน ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลกจนถึงวันสุดท้ายที่ตายจากกัน ลูกยังคงเป็นลูกและอยู่ในหัวใจแม่เสมอมา ประกาศกอิสยาห์อุปมาความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติดังความรักของแม่ ที่ให้อภัยไม่สิ้นสุดและมองข้ามความผิดของลูกทุกอย่าง
เวลาใดที่เรารู้สึกผิดหวังหรืออยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ หากเราได้อ่านหนังสือประกาศกอิสยาห์ เราจะได้รับความบรรเทา โดยเฉพาะบทอ่านวันนี้ซึ่งถือเป็นตอนที่มีความหมายมากที่สุดตอนหนึ่ง จัดเป็นตอนที่ให้ความบรรเทา ให้กำลังใจ และให้ความหวังสำหรับอนาคต “จงโห่ร้องด้วยความยินดี เพราะพระยาเวห์ทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์ และทรงเมตตาสงสารผู้มีความทุกข์” (อสย 49:13)
นี่เป็นพันธสัญญาของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ ที่ทำให้ประกาศกอิสยาห์มีความหวังและมองโลกในแง่ดี เพราะทรงสัญญาจะประทานอิสรภาพแก่เชลยและประทานอาหารแก่ผู้ที่หิวโหย เป็นรักนิรันดร์ที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเหมือนความรักของแม่ที่มีต่อบุตรสุดที่รักของนาง แม้ว่าความรักของแม่อาจเปลี่ยนได้ ดังในปัจจุบันที่แม่อาจลืมและฆ่าลูกของตัวเอง แต่ความรักของพระเจ้าเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและมั่นคง พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย” (อสย 49:15)
พระเยซูเจ้าทรงทำให้ “รักนิรันดร” ของพระเจ้าปรากฏเป็นจริงในชีวิตและคำสอนของพระองค์ ในการรักษาคนเจ็บป่วยแม้ในวันสับปาโต ทรงยืนยันกับเราในพระวรสารวันนี้ว่าสิ่งที่พระองค์ทำคือพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า พระองค์ไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แต่ทรงกระทำตามที่เห็นพระบิดาทรงกระทำ เพราะพระองค์ทรงเป็นอยู่ เท่าเสมอ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวยิวรับไม่ได้และหาช่องทางกำจัดพระองค์
ศิษย์พระคริสต์ต้องเลียนแบบพระเยซูเจ้าในพันธกิจแห่งรักที่ต้องทำให้สมบูรณ์ ไม่แสวงหาหรือทำตามน้ำใจของตน แต่แสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า ดังที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำอย่างซื่อสัตย์จนถึงความตายบนไม้กางเขน เราถูกเรียกร้องให้ทำเช่นเดียวกัน โดยไม่กลัวความยากลำบากใดๆ  และมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่ไม่ทรงลืมเราอย่างแน่นอน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
บ้านแมรี่แอน เขาใหญ่
28 มีนาคม 2017

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

น้ำทรงชีวิต

 น้ำทรงชีวิต 
วันอังคาร
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
อสค 47:1-9, 12
ยน 5:1-3, 5-16
 น้ำ” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตและเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด กล่าวกันว่ามนุษย์สามารถอดอาหารได้นานเป็นเดือน แต่หากต้องอดน้ำจะอยู่ได้ไม่กี่วัน เพราะในร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยน้ำถึงสามส่วน ดังนั้นเวลาที่เกิดภัยพิบัติเรื่องภัยแล้ง จึงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นวงกว้าง
ในนิมิตของประกาศกเอเซเคียลและความคิดในพันธสัญญาเดิม น้ำหมายถึงชีวิตและพลังที่ช่วยในการรักษา ซึ่งเป็นรูปหมายถึงพระหรรษทานของพระเจ้าที่ประทานให้ชาวอิสราแอลตลอดมา ในห้วงเวลาที่พวกเขาเฝ้าคอยพระผู้ไถ่ ซึ่งบรรลุความสมบูรณ์เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ไม่ได้นำคนเจ็บป่วยไปที่สระสิโลอัม ท่อธารแห่งพระหรรษทานสำหรับการบำบัดรักษาในพันธสัญญาเดิม แต่ทรงรักษาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์เอง เพราะพระองค์ทรงเป็นน้ำทรงชีวิต
พระวรสารวันนี้พูดถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปี เนื่องจากไม่มีใครช่วยเขาให้ลงไปในสระเบเธสดาเวลาที่น้ำกระเพื่อม เชื่อกันว่าเทวดาของพระเจ้าทำให้น้ำในสระกระเพื่อม และในช่วงเวลาดังกล่าวหากคนป่วยคนไหนสามารถลงไปในสระได้เป็นคนแรกจะได้รับการรักษาให้หาย ตามระเบียงทั้งห้าแห่งรอบสระเบเธสดาจึงเต็มไปด้วยคนเจ็บป่วย รวมถึงชายคนดังกล่าวที่เฝ้าคอยโอกาสลงไปในสระมานานถึง 38 ปี
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันสะปาโต วันพระเจ้าของชาวยิวที่มีข้อห้ามมากมาย เช่น ห้ามทำงาน รวมถึงห้ามรักษาคนเจ็บป่วย ดังนั้น การที่ชาวยิวเห็นชายคนนั้นแบกแคร่กลับบ้านจึงรู้สึกเป็นที่สะดุดอย่างมาก เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูเจ้าแสดงให้เห็นว่า “วันสะบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสะบาโต ดังนั้น บุตรแห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้พระทั่งวันสะบาด้วย (มก 2:27-28) สำหรับพระองค์แล้ว ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ยิ่งใหญ่เหนือกฎเกณฑ์หรือข้อห้ามใดๆ
พระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ท่านอยากจะหายไหม” ทรงประสงค์อยากให้ทุกคนได้รับการรักษาให้หาย พระองค์ไม่ได้นำชายคนนั้นลงไปในสระน้ำ แต่ทรงบอกให้เขาลุกขึ้น แบกแคร่เดินไป นี่คืออำนาจของพระเจ้าผู้ทรงเป็นน้ำทรงชีวิต ชายเจ็บป่วยเป็นรูปหมายถึงมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่กำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานฝ่ายจิตจากการดำเนินชีวิตในบาป หากเราต้องการการรักษาจากผู้เป็นธารน้ำทรงชีวิตนี้ เราต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตหนีห่างจากบาป “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดขึ้นแก่ท่าน” (ยน 5:14)
การรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีของพระเยซูเจ้า ไม่เพียงแสดงถึงความรักเมตตาของพระเจ้า แต่ยังแสดงให้เห็นถึงงานไถ่กู้ของพระองค์เอง และพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าเพื่อความรอดพ้นของมวลมนุษย์ เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาระลึกถึงศีลล้างบาป และเตรียมผู้สมัครเป็นคริสตชนเพื่อการรับศีลล้างบาป ศิษย์พระคริสต์ได้รับการชำระด้วยน้ำและพระจิตเจ้าแล้ว เรายังคงต้องการการชำระจากพระเยซูเจ้าผู้เป็นน้ำทรงชีวิตอยู่ทุกวัน เพื่อให้เราเป็นอิสระจากบาปและผลของมันผ่านทางศีลอภัยบาป
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
บ้านแมรี่แอน เขาใหญ่
27 มีนาคม 2017

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

พลังของความเชื่อ

 พลังของความเชื่อ 
วันจันทร์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
อสย 65:17-21
ยน 4:43-54
มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งขึ้นไปบนหน้าผาสูงชันเพื่อชมพระอาทิตย์ยามเช้า ทำให้เขาพลัดตกจากหน้าผา แต่ก่อนที่ร่างจะร่วงลงสู่ก้นเหวเขาคว้ากิ่งไม้ได้ทันและแขวนอยู่เป็นเวลานาน สักพักเขาได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังมาจึงร้องว่า “มีใครอยู่ข้างบนไหม ช่วยผมด้วย” มีเสียงตอบกลับมาว่า “เราอยู่นี่ เราเป็นพระเจ้าของเจ้า” ชายคนนั้นพูดด้วยความดีใจว่า “ข้าแต่พระองค์ ลูกดีใจที่พระองค์มา ช่วยลูกด้วย ลูกไม่มีแรงยึดกิ่งไม้ได้ต่อไปอีกแล้ว”
พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “ก่อนช่วยเจ้า เราต้องการรู้ว่าเจ้าเชื่อเราไหม” ชายคนนั้นตอบทันทีว่า “ข้าแต่พระองค์ ลูกเชื่อพระองค์ ลูกไปวัดทุกอาทิตย์ อ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานภาวนาทุกวัน และให้ทานทุกครั้ง” พระเจ้าตรัสว่า “แต่เจ้าไม่ได้เชื่อเราจริง” ชายนั้นยืนยันหนักแน่นว่า “ข้าแต่พระองค์ ลูกเชื่อพระองค์” พระเจ้าตรัสว่า “ดี งั้นปล่อยมือสิ” เมื่อเห็นเขายังลังเลพระองค์ทรงตรัสว่า “หากเจ้าเชื่อเราจงปล่อยมือซะ” ชายคนนั้นเงียบไปพักและร้องดังกว่าเดิมว่า “ยังมีใครอยู่ข้างบนอีกไหม”
เวลาที่เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต เรายังคงเชื่อในพระเจ้าไหม พระวรสารวันนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของข้าราชการชาวคาร์เปอร์นาอุม ซึ่งเป็นคนต่างศาสนาที่เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า และทูนขอให้เสด็จไปรักษาบุตรชายของเขาที่กำลังป่วย จากเหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อนำความรอดมาสู่ทุกคน ทรงต้อนรับทุกคนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา
ข้าราชการคนนั้นต้องการให้พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่บ้านเพื่อรักษาบุตรชายของตน แต่พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเขา “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายและอัศจรรย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” (ยน 4:48) พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนั้นเพื่อบอกเราว่าต้องมีความเชื่อแท้จริง ข้าราชการคนนั้นเชื่อเพียงว่าถ้าพระองค์ไปกับเขาที่บ้าน เขาคงได้เห็นพระองค์รักษา นี่คือลักษณะของมนุษย์ทุกคนที่อยากเห็นอัศจรรย์ด้วยตาตนเอง
ข้าราชการคนนั้นยังคงร้องขอให้พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่บ้าน มิฉะนั้นบุตรของเขาคงสิ้นใจ แต่พระองค์ทรงเรียกร้องความเชื่อแท้จริงจากเขา “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” (ยน 4:50) พระวาจาของพระองค์คืออัศจรรย์ที่ไม่ต้องมีเครื่องหมายอื่นอีก ชายคนนั้นเชื่อในพระวาจาของพระองค์และกลับบ้าน ผลของความเชื่อในพระวาจานี้ทำให้บุตรชายของเขาได้รับการรักษา
 พระวรสารวันนี้เตือนเราว่าจำเป็นต้องมีความเชื่อในพระวาจาพระเจ้า มิใช่มาหาพระองค์เมื่อเราเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น การอธิษฐานภาวนาเป็นการสนทนากับพระเจ้าในแต่ละวัน และวางใจพระองค์ว่าทรงตอบคำภาวนาของเราด้วยวิธีของพระองค์ เราอธิษฐานภาวนาเช่นนี้บ้างหรือเปล่า เชื่อโดยไม่จำเป็นต้องเห็นเครื่องหมายหรืออัศจรรย์ การอธิษฐานภาวนามีสองส่วนที่จำเป็น หนึ่งพระเจ้าทรงพร้อมช่วยเหลือ และสองเรามนุษย์ต้องเชื่อ
ศิษย์พระคริสต์ต้องต้อนรับพระเยซูเจ้าในชีวิตด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง   ไม่เพียงเชื่อในพระวาจาของพระองค์เท่านั้น แต่ต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเชื่อในชีวิตประจำวัน เป็นต้นในความรักต่อเพื่อนพี่น้องโดยไม่แบ่งแยก และในการให้อภัยความผิดของกันและกันด้วยใจกว้าง เทศกาลมหาพรตนี้ขอให้เรามีความเชื่อในพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ผ่านทางการฟังพระวาจาของพระองค์และการอธิษฐานภาวนาสม่ำเสมอ เพื่อพบกับพระเจ้าและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในชีวิตของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
26 มีนาคม 2017
ที่มาภาพ: https://i.pinimg.com/originals/40/d5/a2/40d5a2b1b4c0047232058122069f26e6.jpg

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

สารวัดป่าพนาวัลย์, ปีที่ 2 ฉบับที่ 98

Text Box:  สารวัดแม่พระแห่งภูเขาการ์แมล ป่าพนาวัลย์

ปีที่ 2  ฉบับที่ 98,  อาทิตย์ที่ 26 มีนาคม  ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560):  http.//dondaniele.blogspot.com

เลขที่ 187 หมู่ที่ 5 บ้านป่าพนาวัลย์ ตำบลท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 47230È086-231-3231

รา
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
พระสงฆ์อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงและเพื่อนที่ฉลองครบ 25 ปีชีวิตสงฆ์
ณ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ เสาร์ที่ 25 มีนาคม 2017
พี่น้องที่รัก เราเดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต เราได้รับการเรียกให้ฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของตนเองและมีประสบการณ์ความรักของพระเจ้า ในพระศาสนจักรแรกเริ่ม ผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปได้รับการเรียกให้ตระหนักว่ามีเพียงพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่เป็นชีวิตใหม่ของเรา ดังนั้น เมื่อได้รับศีลล้างบาปเราจึงกลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ และกลายเป็นสมาชิกของครอบครัวใหญ่คือพระศาสนจักร
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายตาบอดแต่กำเนิด เราได้รับความทุกข์ทรมานจากความบอดมืดในรูปแบบต่างๆ แต่เรามีความหวังหากเราหันมาหาพระเยซูเจ้า บาปที่เรากระทำคือความบอดมืด ให้เรากราบขอสมาโทษพระเจ้า เพื่อวอนขอพระเยซูเจ้าให้ทรงรักษา และทำให้แสงสว่างแห่งพระหรรษทานของพระองค์ฉายแสงในจิตใจเรา
 25 ปีชีวิตสงฆ์ของคุณพ่อวีระเดช ใจเสรี คุณพ่อธนกฤต นามโยธา คุณพ่อสุรศักดิ์ พงษ์พิศ
คุณพ่อฉลอง แก้วอาศา และคุณพ่อวันทยา ศิริปะกะ เสาร์ที่ 25 มีนาคม 2017
บทอ่านที่หนึ่ง ซามุแอลได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ไปเจิมตั้งกษัตริย์องค์ใหม่จากบุตรชายของเจสซี เพื่อแทนที่กษัตริย์ซาอูลซึ่งไม่ซื่อสัตย์ พระเจ้าได้ตรัสกับซามุแอลมิให้มองดูที่รูปลักษณ์ภายนอก เพราะพระเจ้าทรงมองดูที่จิตใจและได้เลือกดาวิดให้ปกครองประชากรของพระองค์ ซามุแอลจึงได้เจิมดาวิดเป็นกษัตริย์องค์ใหม่สำหรับประชากรของพระองค์
บทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้เตือนชาวเอเฟซัสว่า เดิมทีเดียวพวกเขาอยู่ในความมืด แต่ความเชื่อและศีลล้างบาปช่วยให้พวกเขาพ้นจากความมืดแห่งบาปและนำพวกเขาสู่แสงสว่างของพระคริสตเจ้า เปาโลได้เชื้อเชิญคริสตชนทุกคนให้เจริญชีวิตเป็นบุตรแห่งความสว่าง และพิจารณาทุกสิ่งในแสงสว่างของพระคริสตเจ้า เพื่อให้พระองค์ฉายแสงในตัวเรา
พระวรสาร ในพระวรสารวันนี้ ได้แสดงให้เราเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของโลก เราได้ยินเรื่องราวการที่พระองค์ทรงรักษาชายตาบอดแต่กำเนิด ทำให้เขาสามารถเห็นพระคริสตเจ้าในฐานะพระเจ้า พระเยซูเจ้าไม่เพียงทำให้ผู้ที่ตาบอดทางร่างกายให้มองเห็นเท่านั้น  แต่พระองค์ยังทำตาใจของเขาที่บอดมือเพราะบาปได้มองเห็นพระองค์ด้วย
 พิธีปฏิญาณตัวของพลมารีย์ในงานอาชีแอสก่อนงานฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์
ณ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ เสาร์ที่ 25 มีนาคม 2017
°ข่าวสารและประชาสัมพันธ์
1)     ขอขอบคุณคุณพ่ออาทิตย์ ว่องไว ที่มาถวายมิสซาวันอาทิตย์ เวลา 10.00 น. (แทนคุณพ่อเจ้าอาวาสที่ไปร่วมร่วมความยินดีกับคุณพ่อสุรศักดิ์ พงษ์พิศ โอกาส 25 ปีชีวิตสงฆ์ที่วัดหนองแสง) และเวลา 19.30 น. มีพิธีมิสซาเหมือนทุกอาทิตย์
2)     ขอขอบคุณร้านธนพลป้ายสวยที่ได้จัดทำป้ายชื่อวัดติดซุ้มประตู จำนวน 3 ป้าย ขอให้สภาอภิบาลวัดได้ช่วยติดตั้งวันนี้
3)     วันที่ 27-30 มีนาคม 2017 คุณพ่อเจ้าอาวาสไปประชุมรุ่น แสงธรรม 15 ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
4)     วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2017 ขอเชิญร่วมฉลองวัดราชินีแห่งสันติภาพ หนองห้าง และฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ ของคุณพ่อวันทยา ศิริปะกะ พิธีบูชาขอบพระคุณ เวลา 10.00 น.
5)     วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2017 ขอเชิญร่วมพิธีฉลองบุญราศีลาวชาวไทย ยอแซฟ อุทัย พองพูม  และฉลองวัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม พิธีบูชาขอบพระคุณ เวลา 10.00 น. คุณพ่อเจ้าอาวาสจะจัดรถยนต์ไปแสวงบุญในวันดังกล่าว
6)     ประกาศศีลสมรส: ระหว่างนายณัฐวุฒิ สวัสดิ์พาณิชย์ บุตรนายกฤษฎางค์-นางเจิมศรี สวัสดิ์พาณิชย์ กับอันนาพรรณวดี สัวัสดิ์พาณิชย์ บุตรีนายเสริมศักดิ์-นางวิพรรณ ยังสุข ประกาศครั้งที่ 3
7)     เงินทานวันอาทิตย์ (19 มีนาคม) มิสซาเช้า จำนวน 2,200.- บาท มิสซาเย็น 1,240.- บาท เงินต้นมิสซาอุทิศให้ยายเสวย ยงบรรทม 2,020.- บาท
 ร่วมแสดงความยินดีกับคุณพ่อวีระเดช ใจเสรี อุปสังฆราชในงานเลี้ยง 25 ปีแห่งพระพร
ศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2017 ณ ศาลาปีติมหาการุญ ท่าแร่
พิธีบูชาขอบพระคุณและวันฉลองในรอบสัปดาห์
วัน
ที่
เวลา
ผู้ขอ/วันฉลอง
จุดประสงค์
วันอาทิตย์
26
10.00 น.
19.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

†สุขสำราญ พี่น้องชาวป่าพนาวัลย์
จันทร์
27
18.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

วันอังคาร
28
18.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

วันพุธ
29
18.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

วันพฤหัสบดี
30
18.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

วันศุกร์
31
18.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
เดินรูป 14 ภาค
วันเสาร์
01
18.30 น.
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


 เด็กรับศีลมหาสนิทครั้งแรกและศีลกำลังของวัดป่าพนาวัลย์
โดยคุณพ่อวีระเดช ใจเสรี อุปสังฆราช อาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017