วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ



การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ
วันที่ 2 พฤศจิกายน
วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ
รม 5:5-11
ยน 6:37-40
บทนำ
เมื่อไม่นานมานี้ได้รับตารางอายุขัยของคนไทยที่ส่งต่อๆ กันมาทางไลน์  (Line) คนที่เล่นไลน์อาจเคยได้รับ ในตารางบอกว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนไทยคือ 75 ปี หรือ 27,375 วัน แต่ละปีของอายุขัยจะมีช่องที่แสดงถึงวันที่เหลืออยู่ เช่น อายุ 75 ปี วันที่เหลืออยู่เท่ากับ 0 อายุ 70 ปีเหลืออยู่ 1,825 วัน, อายุ 50 ปีเหลือยู่ 9,125 วัน ยิ่งอายุน้อยวันเวลายิ่งเหลือมาก ยิ่งอายุมากวันเวลายิ่งเหลือน้อย
หากดูตามตารางนี้ คนที่อายุเกิน 75 ปีถือเป็นกำไรชีวิตเป็นพระพรของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอายุถึง 75 ปีตามเกณฑ์ หรือยืนยาวถึง 80-90 ปี หลุมศพของปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้องที่อยู่ต่อหน้าเราคือคำตอบ บางคนอายุไม่ถึง 50 ปีด้วยซ้ำ บางคนเป็นเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ บางคนกำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาว กำลังเรียนหนังสือหรือสร้างเนื้อสร้างตัว แต่พระเจ้าได้เรียกเขาไป เพราะวิถีของพระเจ้าไม่เหมือนวิถีของเรามนุษย์
ชีวิตของเราไม่ได้วัดกันด้วยชั่วโมง วัน เดือน ปี ช่วงชีวิตของเราสมบูรณ์แบบได้ ไม่ว่าจะเป็น 10 ปี 50 ปีหรือ 60 ปี ทั้งนี้เพราะ “สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เพียงหนึ่งวันก็เหมือนหนึ่งพันปี และหนึ่งพันปีก็เหมือนกับหนึ่งวัน” (2 ปต 3:8) วันนี้เราจึงมาที่นี่ (สุสานศักดิ์สิทธิ์) เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อคริสตชน ในการภาวนาและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับของเรา ซึ่งนักบุญยอห์นที่ 23 พระสันตะปาปา ทรงใช้คำว่า “พวกเขาไม่ได้ตาย พวกเขาได้กลับบ้าน และพวกเขากำลังรอเราอยู่”

1.         การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ
วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับถือเป็นวันพิเศษ ที่เราคริสตชนจะระลึกถึงและภาวนาเพื่อคนที่เรารักซึ่งล่วงหน้าพวกเราไปก่อน โดยเฉพาะคนที่กำลังอยู่ในไฟชำระเพื่อรอการชำระให้บริสุทธิ์ก่อนไปอยู่กับพระเจ้า ความเชื่อนี้ถือเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวยิวและเข้ามาในพระศาสนจักรยุคแรก เห็นได้จากคำจารึกบนหลุมศพในกาตากอล์มที่เขียนว่า “โปรดระลึกถึงพวกเราซึ่งล่วงหน้าท่านไปก่อนในคำภาวนา” นักบุญออกัสตินมักภาวนาเพื่อคุณแม่ที่เจ็บป่วยและระลึกถึงคำขอร้องของท่าน “เมื่อแม่ตาย ฝังแม่ที่ไหนก็ได้ แต่ขอให้ลูกได้ภาวนาเพื่อแม่บนพระแท่น”
เมื่อวานนี้ (1 พฤศจิกายน) เราสมโภชนักบุญทั้งหลาย เราแต่ละคนซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในโลกนี้ (พระศาสนจักรที่กำลังต่อสู้) เป็นหนึ่งเดียวกับบรรดานักบุญซึ่งได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์ (พระศาสนจักรที่ได้รับชัยชนะ) และวันนี้ (2 พฤศจิกายน) เราเฉลิมฉลองความเป็นหนึ่งเดียวกับญาติพี่น้องที่อยู่ในไฟชำระ (พระศาสนจักรที่กำลังทนทุกข์) ซึ่งความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวนี้รวมเรียกว่า สหพันธ์นักบุญหรือ “ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์”
บรรดานักบุญในสวรรค์ภาวนาเพื่อเรา และเราภาวนาต่อนักบุญและเพื่อวิญญาณในไฟชำระ ช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นและเข้าอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรขวางกั้นคำภาวนาของเราสำหรับญาติพี่น้องที่ล่วงลับ ซึ่งเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่พวกเขาเป็นปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้องที่มีพระคุณต่อเรา การระลึกถึงพวกเขาในวันนี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความกตัญญูรู้คุณ และการขอบคุณพระเจ้าสำหรับรางวัลนิรันดรสำหรับพวกเขา 

2.         บทเรียนสำหรับเรา
การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับที่เราระลึกในวันนี้ จึงมีความหมายสำหรับเราคริสตชน และท้าทายเราหลายประการ
ประการแรก เราต้องตระหนักในความรักของพระเจ้า ไม่มีใครที่มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม แม้เราจะได้รับศีลล้างบาปได้ชื่อว่าเป็นคริสตชนแล้ว แต่ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และไร้ขีดจำกัด พระองค์ทรงรักเราแม้เราจะไม่สมบูรณ์ ประการสำคัญ พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งวิญญาณของพี่น้องชายหญิงของเราที่ล่วงหน้าเราไปก่อน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ดำเนินชีวิตคู่ควรกับความเป็นคริสตชนก็ตาม (เว้นแต่ว่าพวกเขาตั้งใจที่จะปฏิเสธพระองค์)
ประการที่สอง เราต้องระลึกถึงญาติพี่น้องผู้ล่วงลับอยู่เสมอ ความตายมิใช่จุดจบ แต่เรายังเป็นหนึ่งเดียวกับญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก ที่สำคัญ วิญญาณที่อยู่ในไฟชำระไม่สามารถช่วยตนเองให้รอดได้ เป็นหน้าที่และมีเพียงเราเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเขาได้ ผ่านทางคำภาวนา พิธีบูชาขอบพระคุณและการพลีกรรมใช้โทษบาปในแต่ละวัน เราจึงไม่ควรระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักของเรา (ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้อง) เฉพาะแต่ในวันนี้เท่านั้น
ประการที่สาม เราต้องตระหนักในชีวิตของเรา การมารวมกันที่สุสานต่อหน้าหลุมศพญาติพี่น้องของเรา สะท้อนความจริงที่ว่า ชีวิตในโลกนี้สั้น ไม่จีรังยั่งยืน บางคนจึงบอกว่า “ชีวิตของเรานั้นสั้นเกินกว่าจะเห็นแก่ตัว” แต่ในความเป็นจริงเรายังเห็นแก่ตัวอยู่ ยังมีความโลภ โกรธ หลง เมื่อเราอยู่ต่อหน้าหลุมศพเราต้องตระหนักว่า ต่อไปเราต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีใครหลีกพ้น ใหญ่แค่ไหนก็เล็กกว่าโลง และเอาอะไรไปไม่ได้นอกจากคุณงามความดี ประการสำคัญเราไม่รู้ว่าวันเวลาของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ เราจึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

บทสรุป
พี่น้องที่รัก วันนี้เราระลึกถึงพี่น้องของเราที่กำลังทนทุกข์ในไฟชำระเพราะผลของบาป เป็นการแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้เป็นกับผู้ตาย ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก ให้เราได้ส่งคำภาวนาและอุทิศส่วนกุศลในพิธีบูชาขอบพระคุณแด่พวกเขา มิใช่แต่เฉพาะในวันนี้เท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาและปลดปล่อยพวกเขาให้คู่ควรกับการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์
ที่สุด เราต้องตระหนักถึงพระพรแห่งชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้า ทุกครั้งที่เราอยู่ต่อหน้าหลุมศพ เราต้องตระหนักว่า ต่อไปเราต้องเป็นแบบนี้ นี่เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกพ้น นี่คือสัจธรรมแห่งชีวิต ประการสำคัญ เราไม่รู้ว่าวันเวลาของเราจะมาถึงเมื่อไหร่เอา เราจึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะมีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ อีกอย่าง เราไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราไหม โชคดีแค่ไหนที่วันนี้ตื่นมา เรายังมีลมหายใจอยู่ ฉะนั้น จงขอบคุณพระเจ้าเสมอและทำหน้าที่คริสตชนของเราในแต่ละวันให้ดีที่สุด
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
San Tomasso Ashram, ป่าพนาวัลย์
30 ตุลาคม 2015

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น