วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การประกาศข่าวดีในภาคอีสานและประเทศลาว



การประกาศข่าวดีในภาคอีสานและประเทศลาว

1.           บทนำ
ในอดีตดินแดนที่เรียกว่า ภาคอีสาน ปัจจุบัน เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอม ดังปรากฏร่องรอยให้เห็นในรูปของปราสาท ปรางค์ กู่ และโบราณสถานต่างๆ ในช่วงปี ค.. 1353-1707 (.. 1896-2250) ภาคอีสานถือเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้างโดยมีหลวงพระบางเป็นราชธานี ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ตามลำดับ มีผู้ปกครองสืบทอดเรื่อยมาเรียกว่า อาญาสี่ มี 4 ตำแหน่งคือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร จนขึ้นอยู่กับกรุงธนบุรีภายใต้การปกครองของพระเจ้าตากสินและสืบเนื่องถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ก่อนหน้าที่คริสตศาสนาจะแผ่ขยายเข้ามานั้นภาคอีสานมีศาสนาอยู่แล้วคือ ศาสนาผีหรือวิญญาณ อันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนอีสาน[1] เช่น ผีปู่ตา ผีฟ้า ผีเชื้อ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาคนในครอบครัวหรือหมู่บ้าน คนอีสานจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผี  นอกนั้นยังมี ผีปอบ   ที่เชื่อกันว่าเป็นผีที่กินตับไตไส้พุงผู้คนทำให้ถึงแก่ความตายจนถูกขับไล่หนี ส่วนพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลในภายหลัง แต่สามารถผสมผสานให้เข้ากับความเชื่อดั้งเดิมได้อย่างกลมกลืน โดยได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาในรูปของธรรมเนียมประเพณีต่างๆ   ความเชื่อดังกล่าว นับว่ามีส่วนอย่างสำคัญต่อการกลับใจเป็นคริสตชนของคนอีสานในเวลาต่อมา
ความพยายามที่จะส่งมิชชันนารีไปประกาศศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว เริ่มขึ้นในปี ค.. 1640 (.. 2183) โดยคุณพ่อเลอเรีย (LERIE) คณะเยซูอิตจากประเทศฟิลิปปินส์ที่เดินทางมาอยุธยาเพื่อไปลาว แต่ไม่ได้รับอนุญาตจึงเดินทางไปเขมรและขึ้นไปเวียงจันทน์ในปี ค.. 1642 (.. 2185) โดยพักอยู่ในลาวเป็นเวลา 5 ปี[2] ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระสังฆราชหลุยส์ ลาโน (Louis LANEAU: 1674-1696) ได้ส่งคุณพ่อโกรส (GROSSE) และคุณพ่ออันเยโล (ANGELO) ไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศลาวผ่านสุโขทัยและนครไทย แต่ถึงแก่มรณภาพก่อนที่จะไปถึงลาว[3] ในปี ค.. 1866 (.. 2409) คุณพ่อดาเนียล (DANIEL) และคุณพ่อมาติน (MATIN) ได้เดินทางจากทับสะแกมาถึงนครราชสีมาพร้อมกับครูคำสอนชาวจีน 2 คน แต่ไม่มีใครสนใจ
2.           การแพร่ธรรมในระยะเริ่มแรก
เดือนมิถุนายน ค.. 1868 (.. 2411) กระทรวงเผยแพร่ความเชื่อได้มอบหมายการแพร่ธรรมในล้านช้างให้มิสซังสยาม โดยมีคำสั่งให้ส่งมิชชันนารีไปล้านช้างให้เร็วที่สุด พระสังฆราชยอแซฟ ดือปอง (Joseph DUPOND: 1864-1872) ซึ่งไปประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ 1 ได้ตกลงที่จะส่งมิชชันนารีไป แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พระสังฆราชดือปอง ได้ถึงแก่มรณภาพก่อนที่จะได้ปฏิบัติตามคำขอร้องของกรุงโรม 
2.1          มิชชันนารีสององค์แรก
ในปี ค.. 1876 (.. 2419) พระสังฆราชฌอง หลุยส์  เวย์ (Jean Louis VEY: 1875-1909) ได้ส่งคุณพ่อกองสตัง ฌอง โปรดม (Constant Jean PRODHOMME) ให้ขึ้นไปช่วยคุณพ่อแปร์โร (PERRAUX) ที่อยุธยา มอบหมายให้สำรวจดูว่ามีทางที่จะขึ้นไปภาคอีสานอย่างไร  โดยหวังที่จะเอาอยุธยาเป็นศูนย์กลางการแพร่ธรรมในภาคอีสาน  คุณพ่อโปรดม ได้ไปดูแลกลุ่มคริสตชนที่หัวแก่งหรือแก่งคอยในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นมีผู้เตรียมตัวเป็นคริสตชนประมาณ 250-300 คน[4] และได้ไปสร้างวัดที่คลองท่าเกวียนใกล้มวกเหล็ก
ในปี ค.. 1880 (.. 2423) คุณพ่อโปรดม ได้พยายามเดินทางไปแพร่ธรรมที่นครราชสีมา แต่อยู่ได้ไม่นานนักเพราะเป็นไข้มาลาเรียต้องไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯและพักฟื้นที่จันทบุรี ในขณะเดียวกันคุณพ่อซาเวียร์ เกโก (Xavier GUEGO) กำลังเรียนภาษาไทยที่วัดอัสสัมชัญเกิดเป็นแผลที่หัวเข่าได้ไปรักษาตัวที่จันทบุรีด้วย  พระสังฆราชเวย์ จึงมอบหมายให้คุณพ่อโปรดมกับคุณพ่อเกโก ไปสำรวจภาคอีสาน เพราะเล็งเห็นว่าการแพร่ธรรมในภาคอีสานจะเกิดผลอย่างแท้จริงเมื่อผู้แพร่ธรรมไปอยู่ในภาคอีสาน
คุณพ่อทั้งสองได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ วันที่ 12 มกราคม ค.. 1881 (.. 2424) พร้อมกับครูเณรคนหนึ่งและคนรับใช้อีก 2-3 คน มุ่งสู่อุบลฯ ผ่านแก่งคอยมาถึงนครราชสีมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และพักอยู่ที่บ้านพ่อค้าชาวจีนคนหนึ่งเป็นเวลา 12 วันก่อนมุ่งหน้าสู่ขอนแก่นผ่านอำเภอชนบท ถึงที่นั่นวันที่ 16 มีนาคม และไปถึงกาฬสินธุ์วันที่ 25 เดือนเดียวกัน ออกจากกาฬสินธุ์วันที่ 1 เมษายน มุ่งหน้าไปกมลาไสยถึงร้อยเอ็ดวันที่ 4 และวันที่ 11 ได้มาถึงยโสธร  หยุดพักทำสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์และฉลองปัสกาในเต็นท์ที่นั่น นับเป็นการฉลองปัสกาครั้งแรกในภาคอีสาน  ที่สุด ได้มาถึงอุบลราชธานีวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน  รวมระยะเวลาในการเดินทาง 102 วัน
เมื่อเดินทางมาถึงอุบลฯ คุณพ่อทั้งสองได้เข้าเยี่ยมคารวะข้าหลวงใหญ่ พร้อมกับแสดงเอกสารสำคัญจากกรุงเทพฯ ที่อนุญาตให้เดินทางและจัดตั้งที่พักที่ไหนก็ได้  ข้าหลวงใหญ่ได้เชิญให้คุณพ่อพักอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาว่าการเมือง โดยใช้ไม้ไผ่สานขัดแตะกั้นมุมหนึ่งไว้สำหรับเป็นที่ทำการ  การพักอยู่ที่นั่นแม้จะแออัดอยู่บ้าง แต่เป็นโอกาสให้คุณพ่อได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณีบ้านเมือง และเป็นดังวิทยาลัยให้เกิดความรู้กฎหมายและการปกครองบ้านเมืองด้วย นับว่ามีประโยชน์อย่างมากสำหรับงานแพร่ธรรมในเวลาต่อมา
2.2  การไถ่ทาส 
งานแพร่ธรรมแรกในภาคอีสานคือ การไถ่ทาส ปลายเดือนมิถุนายน ค.. 1881 (.. 2424) คุณพ่อโปรดม ได้ปลดปล่อยชาวลาวพวน 18 คนที่ถูกพวกกุลาจับตัวมาจากประเทศลาวเพื่อขายเป็นทาส  โดยได้ยื่นฟ้องพวกกุลา 2 ข้อหาคือ พวกกุลาเป็นโจรเพราะขโมยคนมาขาย และได้แอบอ้างชื่อคุณพ่อเป็นผู้สั่งให้ค้าขายทาส  ศาลได้ตัดสินปล่อยทาสทั้ง 18 คนเป็นอิสระ พวกเขาจึงมาขออาศัยอยู่กับคุณพ่อและเป็นกลุ่มแรกที่ได้เริ่มเรียนศาสนา 
ข่าวการชนะคดีและปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระครั้งนั้นได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว และสร้างชื่อเสียงให้กับคุณพ่อ พวกทาสได้มาขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อเป็นจำนวนมาก  การไถ่ทาสจึงกลายเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งในการแพร่ธรรม เมื่อคุณพ่อเดินทางไปที่ไหน พวกทาสในถิ่นนั้นมักขอให้คุณพ่อเป็นทนาย ขอให้ศาลปล่อยเป็นอิสระเสมอ[5] พวกทาสเหล่านั้นเมื่อได้รับอิสรภาพได้มาอยู่กับมิชชันนารีเพราะกลัวจะถูกจับไปเป็นทาสอีก  การอยู่กับมิชชันนารีและการเข้าศาสนาของพวกเขาจึงเป็นการหนีร้อนมาพึ่งเย็น
วัดแม่พระนิรมลทิน บุ่งกะแทว วัดหลังแรกของภาคอีสาน
2.3         บุ่งกะแทว  ศูนย์แรกของมิสซัง
เมื่อมีคนมาอยู่มากขึ้นการพักอาศัยในอาคารหลวงจึงเป็นการไม่สะดวกและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง  คุณพ่อโปรดม ได้เร่งเจ้าเมืองอุบลฯให้หาที่อยู่ให้ใหม่ เจ้าเมืองอุบลฯได้เสนอให้ไปอยู่ในที่ดินที่เป็นบ้านร้างทางตะวันตกของตัวเมืองอุบลฯ ซึ่งถือเป็นที่เคล็ดมีผีร้ายชาวบ้านอยู่ไม่ได้  ตั้งอยู่ริมบุ่งหรือบึงที่ชื่อว่า บุ่งกะแทวคุณพ่อโปรดม ได้ไปดูสถานที่และพอใจที่ดินผืนนั้นจึงได้ซื้อบ้านเก่ามาปลูก และเข้าอาศัยอยู่เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.. 1881 (.. 2424) รวมคุณพ่อ คนงาน และผู้สมัครมาอยู่ด้วยทั้งหมดประมาณ 30 คน[6] 
หลังจากช่วยกันหักล้างถางพงเป็นที่เรียบร้อยคุณพ่อได้เริ่มสอนคำสอนทันที เมื่อตั้งหลักได้แล้วคุณพ่อโปรดม ได้เดินทางไปกรุงเทพฯเพื่อรายงานพระสังฆราชเวย์ และกลับมาพร้อมกับคุณพ่อเกลมังต์ พริ้ง (Clemente PHRING) และครูสอนคำสอน 2 คน  ที่สุด โอกาสสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ วันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1882 (พ.ศ. 2425) พวกที่ถูกปลดปล่อยได้รับศีลล้างบาปเป็นคริสตชน[7] และด้วยความวางใจในคำเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์ คุณพ่อโปรดม ได้ให้ชื่อวัดแรกในภาคอีสานว่า วัดแม่พระนฤมลทิน
เดือนธันวาคม ค.. 1882 (.. 2425) คุณพ่อโปรดม ได้เดินทางไปกรุงเทพฯอีก ขณะที่คุณพ่อเกโก ไปแพร่ธรรมที่อำนาจเจริญแต่ไม่เป็นผล ที่กรุงเทพฯ พระสังฆราชเวย์ได้ปรารภกับคุณพ่อโปรดม ด้วยความห่วงใยว่า ไม่รู้ว่าจะสนับสนุนมิสซังใหม่อย่างไรดี พ่อกลุ้มใจมากเพราะการส่งพระสงฆ์ไปตามป่าดงหลายวันก็เท่ากับส่งเขาให้ไปเป็นไข้ป่าตาย อีกอย่างหนึ่งก็เกินความสามารถของมิสซังที่จะส่งพระสงฆ์ ครูคำสอนหรือทรัพย์สมบัติขึ้นไปช่วยเสมอๆ เอาอย่างนี้เป็นไงคือให้คุณพ่อพาคนทั้งหมดของมิสซังใหม่ย้ายมาอยู่ทางนี้เสียก็แล้วกัน[8] พร้อมกับเสนอให้นำทุกคนมาอยู่ที่วัดหัวไผ่ 
จากนั้นได้ถามคุณพ่อโปรดมว่าคิดอย่างไรกับแผนการนี้ นับเป็นความโชคดีของพระศาสนจักรอีสาน ที่คุณพ่อโปรดมไม่เห็นด้วยกับความคิดของพระสังฆราชเวย์  ไม่เช่นนั้นการแพร่ธรรมในอีสานคงหยุดเพียงแค่นั้น ตรงข้ามคุณพ่อโปรดมได้ตอบพระสังฆราชเวย์ด้วยความสุภาพว่า การกระทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำลายการแพร่ธรรมในอีสานอย่างสิ้นเชิง การแพร่ธรรมในภาคอีสานจึงดำเนินต่อมา ก่อนจะเดินทางกลับอุบลฯพร้อมคุณพ่ออัลเฟรด-มารีย์ เทโอฟิล รองแดล (Alfred-Marie RONDEL) และครูทอง ครูสอนคำสอน ถึงอุบลฯวันที่ 5 เมษายน ค.. 1883 (พ ศ. 2426) 
2.4          การตั้งกลุ่มคริสตชนที่นครพนม
เมื่อมีคนจากหัวเมืองทางเหนือของภาคอีสานมาเชิญไปหนองคาย คุณพ่อโปรดม ได้ตัดสินใจไปพร้อมกับคุณพ่อรองแดลและครูทอง โดยออกเดินทางจากจากอุบลฯวันที่ 26 เมษายน ค.. 1883 (.. 2426) มาถึงนครพนมเป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.. 1883 (.. 2426) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจเส้นทาง สถานการณ์และการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน เพื่อวางโครงการแพร่ธรรมในโอกาสต่อไป เมื่อได้ใช้เวลาสำรวจไปถึงหนองคายและเวียงจันทน์ได้พบคริสตชน 2 คนซึ่งได้รับศีลล้างบาปที่วัดบ้านแป้ง สิงห์บุรี
ในระหว่างเดินทางกลับได้แวะพักที่นครพนมหลายสัปดาห์ โอกาสนั้นได้สอนคำสอนชาวเวียดนามที่สนใจ โปรดศีลล้างบาปคริสตชนกลุ่มแรกที่นครพนม จำนวน 13 คน และจัดให้พวกเขารับศีลสมรสอย่างถูกต้องอีก 4 คู่  เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.. 1883 (.. 2426)[9] เมื่อได้เวลาสมควรจึงล่องเรือกลับผ่านธาตุพนม มุกดาหาร และหมู่บ้านตามรายทางซึ่งคุณพ่อได้ช่วยไถ่ทาสชาวลาวพวนให้เป็นอิสระหลายคน ที่สุดได้มาถึงบุ่งกะแทวในเดือนตุลาคม ค.. 1883 (.. 2426) พร้อมกับทาสที่ติดตามคุณพ่อมาอยู่ด้วย จำนวน 51 คน
พอถึงเดือนพฤศจิกายน คุณพ่อเกโกกับคุณพ่อรองแดล ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯเพื่อรักษาไข้มาลาเรีย  หมอไม่อนุญาตให้คุณพ่อรองแดล มาภาคอีสานอีก แต่ได้คุณพ่อยอร์ช-ออกิสต์ มารีย์ ดาแบง (Georges DABIN) มาแทน เดินทางมาพร้อมกับคุณพ่อเกโกและครูทัน ครูเณรชาวเวียดนามจากจันทบุรี ภายหลังเมื่อหายดีแล้วคุณพ่อรองแดล ได้เดินทางมาแพร่ธรรมที่ภาคอีสานอีกครั้งในปี ค.. 1888 (.. 2431) หลังฉลองปัสกาในเดือนเมษายน ค.. 1884 (.. 2427) คุณพ่อโปรดมกับคุณพ่อเกโกและครูทัน ได้เดินทางไปนครพนมอีกครั้ง
วัดท่าแร่ หลังที่ 2 สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1901-1906 โดยคุณพ่อยอแซฟ กอมบูริเออ
2.5          การตั้งกลุ่มคริสตชนที่สกลนคร
เมื่อตั้งกลุ่มคริสตชนที่นครพนมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดือนมิถุนายน ค.. 1884 (.. 2427) คุณพ่อโปรดม เดินทางไปสกลนครพร้อมกับครูทัน  ตั้งใจจะไปเยี่ยมคริสตชนที่มาจากประเทศเวียดนามตามที่ได้ยินมา และเปิดศูนย์คาทอลิกที่นั่น คุณพ่อได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคริสตชนชาวเวียดนามและมีชาวเวียดนามจำนวนหนึ่งแจ้งความจำนงขอเป็นคริสตชน  คุณพ่อได้สร้างที่พักและอยู่กับพวกเขา 1 เดือนแล้วมอบให้ครูทัน ดูแล ส่วนคุณพ่อเดินทางกลับนครพนม
กลางเดือนสิงหาคม ค.. 1884 (.. 2427) คุณพ่อโปรดม เดินทางไปสกลนครอีกครั้งพร้อมกับคุณพ่อเกโก และสอนศาสนาแก่ชาวเวียดนามที่สนใจ ในใบบอกเมืองสกลนครทำให้เราทราบว่ามีชาวเวียดนามเป็นจำนวนมากสมัครเป็นคริสตชน “…ครั้น ณ. เดือน 7 ปีวอก ฉศก บาทหลวงอเล็กซิส โปรดม บาทหลวงซาเวียร์ เกโก ชาวฝรั่งเศสได้ขึ้นมาเมืองสกล เพี้ยศรีสองเมือง นายกองญวน เพี้ยจ่าย ปลัดกองญวน ได้พาพรรคพวกญวน 75 คน สมัครเข้าศาสนาบาทหลวง เหลือญวนเมืองสกลนครที่ยังไม่เข้าศาสนากับบาทหลวงเพียง 35 คน…”[10]
เมื่อเห็นจำนวนผู้สมัครเป็นคริสตชนเพิ่มมากขึ้น คุณพ่อโปรดม ได้จัดตั้งศูนย์คาทอลิกสกลนครขึ้นในปี ค.. 1884 (.. 2427) จากหลักฐาน สมุดบัญชีศีลล้างบาป คริสตัง สกลนคร ปี 1884, 1885, 1886”  ที่บันทึกโดยคุณพ่อโปรดม พบว่าผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปในลำดับที่ 1 ชื่อ มารีอา เดียง ได้รับศีลล้างบาปในวันสมโภชพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ วันที่ 15 สิงหาคม ค.. 1884 (.. 2427)[11] หลังจากนั้นจึงได้มอบกลุ่มคริสตชนใหม่ให้คุณพ่อเกโกกับครูทันดูแล ก่อนจะเดินทางกลับอุบลฯ เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปกรุงเทพฯ
นานวันเข้าได้มีชาวเวียดนามและคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ 40 คนมาสมัครเป็นคริสตชน  ทำให้จำนวนคริสตชนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่บางคน คุณพ่อเกโก ได้คิดหาทำเลตั้งหมู่บ้านใหม่ ในคืนวันหนึ่งหลังสมโภชนักบุญทั้งหลายปี ค.. 1884 (.. 2427) คุณพ่อเกโกและครูทันได้ย้ายกลุ่มคริสตชนโดยทำแพใหญ่จากเรือเล็กและไม้ไผ่ผูกติดกัน บรรทุกทั้งคนและสัมภาระลงแพ ใช้ผ้าห่มและผืนผ้าขึงแทนใบ ข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของหนองหารและตั้งหลักแหล่งที่นั่น ในบริเวณที่เป็นบ้านท่าแร่ปัจจุบัน
วัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม วัดที่เก่าแก่ที่สุดในภาคอีสานเวลานี้ เสก-เปิด ปี ค.ศ. 1907
2.6  คำเกิ้ม ศูนย์ที่สองของมิสซัง
ต้นเดือนมกราคม ค.. 1885 (.. 2428) คุณพ่อเกโก ได้เดินทางไปนครพนม เวลานั้นคริสตชนใหม่และผู้เตรียมเป็นคริสตชนมีไม่มาก รวมกลุ่มอาศัยอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนครพนมใกล้กับ วัดป่า  คุณพ่อเกโก ได้ปรึกษาทุกคนเรื่องย้ายไปอยู่ที่ใหม่และตกลงเอาบ้านคำเกิ้ม ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองนครพนมประมาณ 3-4 กิโลเมตร  คำเกิ้มเวลานั้นมีคนต่างศาสนาอยู่ก่อนแล้ว 3-4 ครอบครัว ซึ่งยินดีกลับใจเป็นคริสตชน[12] ต่อมา คำเกิ้มได้กลายมาเป็นศูนย์มิสซังที่บรรดาพระสงฆ์มาเข้าเงียบประจำปีในเดือนพฤศจิกายน 
เวลานั้นมิสซังมีศูนย์กลางอยู่ 3 แห่งคือ บุ่งกะแทวสำหรับภาคใต้ ท่าแร่สำหรับภาคตะวันตก และคำเกิ้มสำหรับภาคเหนือและตามแม่น้ำโขง ศูนย์ทั้งสามแห่งได้เป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการแพร่ธรรมในหมู่บ้านต่างๆ จนเกิดหมู่บ้านคาทอลิกเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งในเวลาต่อมา ถึงปี ค.. 1899 (.. 2442) มิชชันนารีสามารถจัดตั้งคริสตชุมชนในภาคอีสานและประเทศลาวได้ทั้งหมด 55 หมู่บ้าน ศูนย์บุ่งกะแทวเขตอุบลราชธานี 15 หมู่บ้าน, ศูนย์ท่าแร่เขตสกลนคร 9 หมู่บ้าน  และศูนย์คำเกิ้มเขตนครพนม 31 หมู่บ้าน
2.7  หนองแสง ศูนย์กลางมิสซังแห่งใหม่
หลังการเข้าเงียบประจำปีเดือนพฤศจิกายน ค.. 1896 (.. 2439) บรรดาพระสงฆ์ได้เสนอความเห็นให้มีสถานที่สำหรับใช้เป็นสำนักของอุปสังฆราชผู้ปกครองมิสซัง และเป็นสำนักทางการของมิสซังด้วย เพื่อง่ายต่อการติดต่อทางจดหมายและปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ โดยเลือกเอาบ้านหนองแสงที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง ซึ่งมีสถานที่กว้างขวางและไปมาสะดวก ดังนั้น หนองแสงจึงกลายเป็นศูนย์ที่ 3 ของมิสซัง และเป็นที่ตั้งสำนักพระสังฆราช ประมุขปกครองมิสซังลาว
เมื่อได้ข้อยุติเกี่ยวกับที่ตั้งศูนย์กลางมิสซังแล้ว คุณพ่อโปรดม ได้เตรียมสถานที่และโค่นต้นไม้เพื่อจะได้สร้างบ้านหลังเล็กๆ สำหรับเป็นที่อาศัยของคุณพ่อ ซึ่งต่อมาภายหลังได้ใช้เป็นโรงครัวในปี ค.. 1897 (.. 2440) ในการก่อสร้างครั้งนั้นคริสตชนที่อยู่รอบๆ หนองแสงมีส่วนอย่างมากในการเตรียมไม้เสา ไม้โครงส่วนต่างๆ ดังนั้น หลังสมโภชปัสกาปี ค.. 1897 (.. 2440) คริสตชนวัดต่างๆ ได้บรรทุกไม้ที่เลื่อยแล้วใส่เรือมาส่งที่หนองแสง และเริ่มตั้งเสาต้นแรกเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.. 1897 (.. 2440) 
พระสังฆราช ยัง-มารีย์ กืออ๊าส พระสังฆราชองค์แรกของมิสซังลาว
3.   มิสซังลาว
ปี ค.. 1895 (.. 2438) เริ่มพูดถึงการแยกมิสซัง เนื่องจากการคมนาคมที่ลำบาก อีกทั้งจำนวนคริสตชนที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับความจำเป็นในการรับเงินอุดหนุนจากกรุงโรมหากแยกเป็นมิสซังต่างหาก เดือนธันวาคม ค.. 1897 (.. 2440) มีจดหมายเวียนแจ้งให้บรรดาพระสงฆ์ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทั่งวันที่ 24 พฤษภาคม ค.. 1899 (.. 2442) สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ได้ลงพระนามในหนังสือประกาศสถาปนา มิสซังลาว และแต่งตั้งคุณพ่อยอแซฟ-มารีย์ กืออ๊าส (Joseph Marie CUAZ) เป็นพระสังฆราชองค์แรก
มิสซังลาวมีอาณาเขตคือ ภาคอีสานของประเทศไทยและประเทศลาว แต่ไม่รวมแขวงซำเหนือ แขวงไทนินตะวันออก และแขวงอัตตาปือทางภาคใต้ ศูนย์กลางมิสซังตั้งอยู่ที่หนองแสง ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปทางเหนือ 3 กิโลเมตร เวลานั้นมิสซังใหม่มีคริสตชนจำนวน 9,262 คน และผู้เตรียมเป็นคริสตชน 1,761 คน[13] นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญของพระศาสนจักรในภาคอีสานและประเทศลาว หลังแพร่ธรรมมาเป็นเวลา 18 ปี
ในการฉลอง 25 ปี แห่งการแพร่ธรรมในภาคอีสานและประเทศลาว  พระสังฆราชกืออ๊าส ได้บันทึกในรายงานประจำปี ค.. 1906 (.. 2449)[14]   พบว่ามีเขตคริสตชนรวม 24 เขต  วัดน้อยรวม 73 แห่ง มีพระสงฆ์มิชชันนารี 30 องค์และพระสงฆ์ไทย 4 องค์ สามเณรที่บ้านเณรนาซาเร็ธ 3 คน นักเรียนครูคำสอน 10 คน  จำนวนคริสตชนทั้งหมดตามรายงานปี ค.. 1907 (.. 2450) 11,362 คน และผู้เตรียมเป็นคริสตชน 1,003 คน  นั่นคือความก้าวหน้าทั้งหมดของมิสซังลาว ภายหลังที่คริสตศาสนาเข้ามาในภูมิภาคนี้เป็นเวลา 25 ปี
3.1 การแยกมิสซัง
สมัยพระสังฆราชอังเยโล-มารีย์ แกวง (Angelo-Marie COUIN) เห็นว่ามิสซังมีพื้นที่กว้างใหญ่ทำให้การแพร่ธรรมเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงได้ขอพระสงฆ์คณะข้าบริการแม่พระนฤมลทิน (O.M.I.) มารับหน้าที่ดูแลภาคเหนือของประเทศลาว คุณพ่อ 3 องค์แรกของคณะมาถึงท่าแขกวันที่ 10 มกราคม ค.. 1935 (.. 2478) ต่อมาสันตะสำนักได้ประกาศตั้งมิสซังเวียงจันทน์และหลวงพระบางแยกออกจากมิสซังลาว เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.. 1938 (.. 2481) และมอบให้คณะข้าบริการแม่พระนฤมลทินดูแล
3.2  การสิ้นสุดของมิสซังลาว
เนื่องจากการเดินทางและการปกครองมิสซังไม่สะดวกและประสบปัญหาหลายอย่าง พระสังฆราชเกลาดิอุส บาเย (Glaudius BAYET) ได้เสนอสันตะสำนักให้แบ่งมิสซังลาว ออกเป็น 2 มิสซังตามเขตประเทศ สันตะสำนักได้แบ่งตามคำขอเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.. 1950 (.. 2493) โดยตั้ง “มิสซังท่าแขก” ประกอบด้วย 4 แขวงภาคใต้ของประเทศลาว และ “มิสซังท่าแร่” ซึ่งครอบคลุมภาคอีสานของประเทศไทย นับเป็นการสิ้นสุดของมิสซังลาว แต่งานประกาศข่าวดียังได้รับการสานต่อ มิสซังท่าแร่ได้แยกเป็น 3 มิสซังคือ มิสซังท่าแร่ มิสซังอุบลราชธานี และ เทียบมิสซังอุดรธานีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496)
พระสังฆราชยัง-มารีย์ กืออ๊าสและคณะสงฆ์มิสซังลาว ปี ค.ศ. 1903
4.   บทสรุป
การประกาศข่าวดีในภาคอีสานและประเทศลาว มีความพยายามตั้งแต่แรกที่คริสตศาสนาเข้ามาในประเทศสยาม แต่มาสำเร็จเป็นจริงสมัยพระสังฆราชเวย์ ในปี ค.. 1881 (.. 2424) ที่ส่งคุณพ่อโปรดมและคุณพ่อเกโก เข้ามาแพร่ธรรมในภาคอีสานโดยยึดเอาอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลาง  สภาพของคนอีสานในสมัยนั้นนับถือผีและอยู่ภายใต้อิทธิพลของผี นอกนั้นยังมีจำนวนมากที่ถูกจับตัวขายเป็นทาส หรือประสบกับความเดือดร้อนทั้งจากอำนาจรัฐและสังคม บทบาทของมิชชันนารีได้เข้าไปมีส่วนในการไถ่ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของนายเงินและอำนาจของผี และเป็นที่พึ่งของผู้เดือนร้อนภายใต้คติที่ว่า ปลดปล่อย เมตตา และยุติธรรม 
บรรดามิชชันนารีได้ดำเนินชีวิตใกล้ชิดชาวบ้าน กินอยู่และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา ซึ่งเป็นการแพร่ธรรมที่สมถะเรียบง่ายและเข้าถึงชาวบ้านอย่างแท้จริง ปกครองแบบครอบครัวโดยรวบรวมคริสตชนให้อยู่รวมกันเป็นชุมชน และถือเป็นศูนย์สำหรับการแพร่ธรรมในหมู่บ้านอื่นต่อไป จะเห็นว่าคริสตชนรุ่นแรกมาจากคนที่เคยเป็นทาสและอยู่ภายใต้อิทธพลของผีมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนและไม่ได้รับการศึกษา  ผลจากการทำงานด้วยความร้อนรน เสียสละ และกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของมิชชันนารี ทำให้เกิดคริสตชุมชนเกิดขึ้นใน 3 จุดใหญ่คือ อุบลราชธานี  สกลนคร และนครพนม ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานอันมั่นคงของ มิสซังลาว
แม้จะเป็นคริสตชนใหม่ แต่พวกเขาได้ผ่านช่วงเวลาของการทดสอบตลอดเวลา 5 ปีแห่งการเบียดเบียนศาสนาขณะเกิดกรณีพิพาทอินโดจีน และได้กลายมาเป็นรากฐานอันสำคัญของมิสซังใหม่อีก 3 มิสซังในเวลาต่อมาคือ มิสซังเวียงจันทน์กับมิสซังท่าแขกในประเทศลาว และมิสซังท่าแร่ซึ่งครอบคลุมภาคอีสานทั้งหมดของประเทศไทย  จากเดิมที่ไม่มีคริสตชนเลยในภาคอีสานและประเทศลาวก่อนปี ค.. 1881 (.. 2424) จนถึงปี ค.. 1950 (.. 2493) จำนวนคริสตชนได้เพิ่มเป็น 25,466 คน นับเป็นพระพรของพระเจ้าอย่างแท้จริง
พระสังฆราชเกลาดิอุส บาเย และคณะสงฆ์ ปี ค.ศ. 1950
บรรณานุกรม
โกสเต, โรแบร์.  ประวัติการเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสยามและลาว.  แปลและเรียบเรียงโดยอรสา ชาวจีน. กรุงเทพฯ:  สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย, 2549.
           .  ประวัติคริสตศาสนาในภาคอีสาน”. ใน พิธีกรรมกับการดำเนินชีวิตชนคาทอลิกในภาคอีสาน. เอกสารอัดสำเนา.
กืออ๊าส, ยัง-มารีย์.  บันทึกปี ค..1907 เนื่องในโอกาสฉลอง 25 ปีของการแพร่คริสตธรรม”.  ใน ที่ระลึกงานเสกวัดช้างมิ่ง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร 15 เมษายน 2512.   ..., 2512.
เกศรี โสดาศรี และอรนินท์ ศิริพงษ์.  ความเชื่อของไทยในภาคอีสาน”.  ใน เอกสารวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม.  มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2533.
จดหมายเหตุแห่งชาติ.  .5 .2 12 .  ใบบอกเมืองสกลนคร.  วัน 5 14/9 11 ค่ำ ปีระกา สัปตศก 1247.
บันทึกการก่อตั้งมิสซังลาวของคุณพ่อปีแอร์ แอกกอฟฟอง.  แปลโดย คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ นรินทร์ ศิริวิริยานันท์.  เอกสารอัดสำเนา.
บาเย, เกลาดิอุส.   ธรรมทูตรุ่นแรกมาถึงประเทศไทย”.  อุดมศานต์.  ปีที่ 61  ฉบับที่ 12.  ธันวาคม, 2524.
           .  ประวัติการแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว.  แปลโดย เกี้ยน เสมอพิทักษ์.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือนแก้ว, 2527.
ประวัติพระศาสนจักรคาทอลิกไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา-สังคายนาวาติกันที่ 2.  นครปฐม: วิทยาลัยแสงธรรม, 2533.
รายงานประจำปี ค.. 1949-1965.   เอกสารทางการของมิสซังสำหรับรายงานสันตะสำนัก.
สมุดบัญชีศีลล้างบาป คริสตัง สกลนคร ปี 1884, 1885, 1886.   เลขที่ 1.   15 สิงหาคม 1884. 


[1] เกศรี โสดาศรี และอรนินท์ ศิริพงษ์, “ความเชื่อของไทยในภาคอีสานใน เอกสารวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม, (มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2533), หน้า 4.
[2] โรแบร์ กอสเต, “ประวัติคริสตศาสนาในภาคอีสาน”, ใน พิธีกรรมกับการดำเนินชีวิตชนคาทอลิกในภาคอีสาน, (เอกสารอัดสำเนา), หน้า 1.
[3] เกลาดิอุส บาเย, ประวัติการแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว, แปลโดย เกี้ยน เสมอพิทักษ์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือนแก้ว, 2527), หน้า17.
[4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 23.
[5] เรื่องเดียวกัน, หน้า 32.
[6] เกลาดิอุส บาเย, “ธรรมทูตรุ่นแรกมาถึงประเทศไทย  อุดมศานต์, ปีที่ 61 ฉบับที่ 12, (ธันวาคม, 2524), หน้า 29.
[7] ยัง-มารีย์ กืออ๊าส, “บันทึกปี ค..1907 เนื่องในโอกาสฉลอง 25 ปีของการแพร่คริสตธรรมใน ที่ระลึกงานเสกวัดช้างมิ่ง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร 15 เมษายน 2512, (..., 2512), หน้า 4.
[8] เกลาดิอุส บาเย, “ธรรมทูตรุ่นแรกมาถึงประเทศไทย”, หน้า 29.
[9] ยัง-มารีย์ กืออ๊าส, เรื่องเดิม, หน้า 4.
[10] กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, เอกสาร ร.5 .2 12 ., ใบบอกเมืองสกลนคร, วัน 5 14/11 ค่ำ ปีระกา สัปตศก 1247, (22 ตุลาคม 2428).
[11] สมุดบัญชีศีลล้างบาป คริสตัง สกลนคร ปี 1884, 1885, 1886, เลขที่ 1, 15 สิงหาคม 1884.
[12] บันทึกการก่อตั้งมิสซังลาวของคุณพ่อปิแอร์ แอกกอฟฟอง, แปลโดย คุณพ่อยอห์น บัปติสต์ นรินทร์ ศิริวิริยานันท์, (เอกสารอัดสำเนา), หน้า 4.
[13] เกลาดิอุส บาเย, ประวัติการแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว, หน้า 118-119.
[14] ดู เรื่องเดียวกัน, หน้า 133-138.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น