ความรู้ใหม่เกี่ยวกับบรรพชน
ในการเข้าเงียบประจำปีของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง
ระหว่างวันที่ 8-12 กันยายน 2014 ณ
สำนักอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง เทศน์โดย พระสังฆราชยวง มารี เวียเนย์ ปรีดา
อินทิราช ประมุขสังฆมณฑลท่าแขก-สะหวันนะเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
พระคุณเจ้าปรีดาได้นำเสนอแง่มุมทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง
เกี่ยวกับการเผยแพร่คริสตศาสนาในประเทศลาวและภาคอีสาน โดยชี้ให้เห็นว่ามีความพยามยามในการประกาศข่าวดีแห่งพระวรสารในประเทศลาวก่อนแล้ว
ในหมู่บ้านแถวเมืองพวน เขตหัวพัน แขวงซำเหนือ โดยพระสงฆ์มิชชันนารีจากเวียดนาม
เนื่องจากเกิดสงครามปราบฮ่อ
ซึ่งเป็นกองกำลังชาวจีนที่ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์แมนจู แต่พ่ายแพ้แล้วหลบหนีมาสร้างอิทธิพลและปล้นสะดมชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว
ที่ขณะนั้นถือเป็นอาณาเขตของฝ่ายไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ส่งกองทัพไปปราบปราม
4
ครั้ง ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นต้องเผชิญกับภาวะสงครามและอพยพหนีภัยสงครามไปยังที่ต่างๆ
ชาวบ้านเหล่านี้เป็นไทแดงหรือลาวพวน
หลายคนได้ถูกกวาดต้อนและถูกพวกกุลา (พ่อค้า) จับตัวไปขายเป็นทาสตามหัวเมืองต่างๆ
เช่น หนองคาย นครพนม ธาตุพนม มุกดาหารและอุบลราชธานี
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ โปรดมกับคุณพ่อฟรังซิสซาเวียร์
เกโก ได้รับมอบหมายจากพระสังฆราชหลุยส์ เวย์ ให้มาแพร่ธรรมในภาคอีสาน
โดยยึดเอาอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลาง
เมื่อย้อนกลับไปอ่านหนังสือ
ประวัติการเผยแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว เขียนโดยพระสังฆราชเกลาดิอุส
บาเย ก็พบความจริงว่าชาวบ้านกลุ่มแรกจำนวน 18 คนที่คุณพ่อโปรดมได้ช่วยไถ่จากการถูกขายเป็นทาสคือชาวลาวพวนจากแคว้นซำเหนือ
และพวกเหล่านี้ได้มาขออยู่ในความคุ้มครองจากพวกคุณพ่อ และได้สมัครเรียนคำสอนเป็นพวกแรกที่บุ่งกะแทว
ข่าวการช่วยทาสให้เป็นอิสระในครั้งนั้น
ได้แพร่สะพัดไปทั่วภาคอีสานอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อคุณพ่อเดินทางไปที่ไหน
พวกทาสในท้องถิ่นนั้นได้ขอให้คุณพ่อเป็นทนายแก้ต่างให้ศาลปล่อยตัวเป็นอิสระเสมอ
เช่น ในการเดินทางไปสำรวจเส้นทางแพร่ธรรมถึงหนองคายของคุณพ่อโปรดมกับคุณพ่ออันเฟร็ด
มารี รองแดล ในปี ค.ศ. 1883 (พ.ศ. 2426) ตอนเดินทางกลับคุณพ่อได้ช่วยไถ่ทาสที่นครพนมจำนวน 5 คน
ที่ธาตุพนม18 คนและอีก 20 คนที่มุกดาหาร
รวมเป็น 43 คน ทั้งหมดเป็นลาวพวนเช่นกันและได้ติดตามคุณพ่อไปอยู่ที่บุ่งกะแทว
ในการเดินทางจากอุบลราชธานีของคุณพ่อโปรดมในปี
ค.ศ. 1885
(พ.ศ. 2428) เพื่อพาคุณพ่อยอแซฟ
กอมบูริเออมาดูแลกลุ่มคริสตชนที่ท่าแร่ คริสตชนที่บุ่งกะแทวจำนวน 60 คน ได้ติดตามคุณพ่อโปรดมมาด้วย เพราะคิดว่าการทำนาที่ท่าแร่กับคำเกิ้มซึ่งคุณพ่อเกโกได้ตั้งขึ้น
จะได้ผลมากกว่าที่อุบลฯ นอกนั้น ยังหวังจะได้พบญาติพี่น้องที่ถูกขายเป็นทาสกระจัดกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ
ทางตอนเหนือของภาคอีสาน
เมื่อเดินทางมาถึงมุกดาหาร
คุณพ่อโปรดมได้ช่วยไถ่ชาวลาวพวนให้พ้นจากการเป็นทาสอีกเป็นจำนวนมาก
รวมแล้วมีจำนวนถึง 30 ครอบครัว จำนวนกว่า 150
คน พวกเหล่านี้ได้ได้เดินทางติดตามคุณพ่อไปรวมกับกลุ่มคริสตชนใหม่ที่ท่าแร่
ซึ่งในช่วงเวลานั้น มีครอบครัวใหม่มาตั้งหลักแหล่งที่ท่าแร่และคำเกิ้มเป็นเป็นจำนวนมาก
ในระหว่างปี
ค.ศ. 1885-1889
(พ.ศ. 2428-2432) ที่คำเกิ้มมีผู้สมัครเรียนคำสอนมากกว่า
1,000 คน จนคุณพ่อเกโกต้องขยายไปตั้งกลุ่มคริสตชนใหม่หลายแห่งในเขตนครพนมและประเทศลาว
เช่นที่ดอนโดนและเชียงยืน ผู้สมัครเรียนคำสอนเหล่านี้ส่วนมากเป็นชาวภูเทิง
(ลาวพวน) ที่ถูกนำมาขายเป็นทาสและคุณพ่อได้ไถ่ให้เป็นอิสระแล้ว
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นจึงยืนยันได้ว่า
บรรพชนของมิสซังลาวหรืออัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นลาวพวนหรือไทแดงจากเขตหัวพัน
แขวงซำเหนือ (ประเทศลาว) ที่หนีภัยสงครามปราบฮ่อ
ถูกขายมาเป็นทาสและได้รับการไถ่ให้เป็นอิสระจากบรรดามิชชันนารี โดยเฉพาะที่ท่าแร่
คำเกิ้ม เชียงยืน ทุ่งมน ฯลฯ รวมถึงชาวผู้ไทที่อพยพมาอยู่ฝั่งไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
3
(นาคำ ช้างมิ่ง หนองเดิ่น ดอนม่วย และนาโพธิ์)
ข้อมูลที่น่าสนในอีกเรื่องหนึ่งที่พระคุณเจ้าปรีดาได้เล่า
คือเรื่องครูบาพิม ซึ่งเป็นพระภิกษุจากเขตหัวพัน แขวงซำเหนือ
ได้ออกเดินทางตามหาญาติพี่น้องที่ถูกขายมาเป็นทาสทางฝั่งไทย
ครูบาพิมได้ช่วยเหลือไถ่ญาติพี่น้องตามกำลังเงินที่มี
แต่ไม่พอจึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากมิชชันนารี
การได้เห็นการอุทิศตนช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนของบรรดามิชชันนารี
ทำให้คูบาพิมเกิดความประทับใจ
ต่อมา
คูบาพิมได้สึกจากเพศบรรพชิต มาเรียนคำสอนและกลับใจเป็นคริสตชน อีกทั้งได้อุทิศตนรับใช้คุณพ่อมิชชันนารีในการสอนคำสอนแก่ผู้กลับใจใหม่ตามหมู่บ้านต่างๆ
ดังนั้น ชาวบ้านจึงเรียกคูบาพิมว่า “จานพิม” หมู่บ้านที่จานพิมถูกส่งตัวไปสอนคำสอนและมีบันทึกไว้ชัดเจนคือ
บ้านนาบัวกับบ้านกุดจอก
จานพิมได้ออกเดินทางไปนาบัวและกุดจอกในปี
ค.ศ. 1889
(พ.ศ. 2432) บันทึกศีลล้างบาปแรกที่กุดจอกลงวันที่
14-15 สิงหาคม ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432)
ส่วนการล้างบาปครั้งแรกที่นาบัวลงวันที่ 26 มกราคม
ค.ศ. 1890 (พ.ศ. 2433) ต่อมาจานพิมได้ไปอยู่ที่ดอนโดนและได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองท่าแขกในเวลาต่อมา
ก่อนจะถึงแก่กรรมเยี่ยงนักบุญห้อมล้อมด้วยลูกๆ หลานๆ ในปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465)
ข้อมูลตอนนี้
พระคุณเจ้าปรีดาบอกว่าน่าจะเป็นเจ้าเมืองหินปูนมากกว่า ไม่ใช่ท่าแขก เพราะลูกของจานพิมคนหนึ่งยังคงรักษาตราของเจ้าเมืองไว้อยู่
อีกทั้งยังบอกด้วยว่าลูกสาวของจานพิมสองคนได้แต่งงานกับชาวท่าแร่
ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมีชาวลาวพวนกลุ่มใหญ่กว่า 150
คนได้ติดตามคุณพ่อโปรดมมาอยู่ที่ท่าแร่
และคงได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ดอนโดน
และลูกสาวของจานพิมคนหนึ่งได้แต่งงานกับปู่ของพระคุณเจ้า
ทำให้พระคุณเจ้ามีศักดิ์เป็นเหลนของจานพิม
แต่หลานของจานพิมที่พวกเรารู้จักดีคือ
คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ แท่ง ยวงบัตรี เกิดเมื่อปี ค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) ที่ดอนโดน ประเทศลาว
ได้บวชเป็นพระสงฆ์ที่อาสนวิหารนักบุญอันนา หนองแสงเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) พร้อมกับคุณพ่อศรีนวล ศรีวรกุล
โดยพระสังฆราชอังเยโล มารีย์ แกวง หลังบวชได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยคุณพ่อลอกอล์มที่วัดช้างมิ่ง พร้อมกับทำหน้าที่ดูแลวัดนาบัวและโพนสูง ภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าแร่และวัดนิรมัยตามลำดับ
และถึงแก่มรณภาพที่นิรมัยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1963
(พ.ศ. 2506)
ขอบคุณพระคุณเจ้าปรีดา
อินทิราช ที่ทำให้เราได้ทราบว่า บรรพชนของเราเป็นลาวพวนหรือไทแดงที่ถูกขายมาเป็นทาสและได้รับการไถ่ให้เป็นอิสระจากบรรดามิชชันนารี
เราต่างเป็นพี่น้องที่มีรากเหง้าเดียวกัน นี่เป็นแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า เหนือสิ่งอื่นใดคือความเป็นพี่น้องในพระคริสตเจ้า
ที่พระคุณเจ้าย้ำเสมอ พวกเราจะภาวนาเพื่อพระคุณเจ้า พี่น้องคริสตชนลาวและพระศาสนจักรใน
สปป. ลาว
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
สำนักมิสซัง, สกลนคร
12
กันยายน 2014
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น