สามเณราลัยฟาติมาท่าแร่: 60 ปีแห่งพระพร
คุณพ่อดาเนียล ขวัญ
ถิ่นวัลย์
ความนำ
แม้ธรรมชาติและกาลเวลาจะกลืนกินทุกสิ่ง
อันเป็นสัจธรรมที่ทุกคนยอมรับ
แต่ในขณะเดียวกัน กาลเวลาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้าง บ่มเพาะ และพัฒนาคุณภาพของบุคคลหรือสถาบัน
ให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและเติบโตยิ่งขึ้นอย่างมีคุณค่า มิให้เสื่อมสลายไปตามเงื่อนไขแห่งกาลเวลา
สามเณราลัยฟาติมา ท่าแร่ เป็นสถาบันหนึ่งที่ได้ผ่านการบ่มเพาะของกาลเวลามาครบ 60 ปีพอดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่เป็น “แหล่งเพาะชำพืชพันธุ์” (Seminarium) แห่งกระแสเรียกการเป็นคริสตชนและพระสงฆ์ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของสถาบันแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
นี่คือความมุ่งหมายและที่มาของบทความนี้ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราว เหตุการณ์ ความทรงจำที่ดีงาม
และประสบการณ์อันทรงคุณค่าของบรรดา “ลูกฟาติมา”
ในแต่ละยุคสมัยไว้มิให้เลือนหายไปพร้อมกับกาลเวลา
อีกทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ภาคภูมิใจ และตอบรับกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์มากยิ่งขึ้น
1.
ภูมิหลังก่อนจะมาเป็นสามเณราลัยฟาติมา
ท่าแร่
ความเป็นมาของสามเณราลัยฟาติมา ท่าแร่
เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผยแผ่คริสต์ศาสนาเข้ามาในภาคอีสานในสมัยพระสังฆราชยัง หลุยส์
เวย์ (Jean Louis VEY) ที่ได้ส่งคุณพ่อกองสตัง
ฌอง โปรดม (Constant Jean PRODHOMME) และคุณพ่อซาเวียร์ เกโก (Xavier GUEGO)
เข้ามาแพร่ธรรมในปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424) โดยยึดเอาอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลาง การแพร่ธรรมในระยะเริ่มแรกก้าวหน้ามาก
จึงมีความพยายามที่จะตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อผลิตครูคำสอนและผู้เตรียมตัวเป็นพระสงฆ์สำหรับช่วยงานพระศาสนจักรท้องถิ่นใหม่
ดังนั้นเราจึงได้เห็นการถือกำเนิดขึ้นของสามเณราลัยหลายแห่ง ดังจะกล่าวถึงต่อไปนี้
คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ โปรดม |
1.1
สามเณราลัยดอนโดน: ค.ศ. 1891-1901
มิชชันนารีรุ่นแรกภายใต้การนำของคุณพ่อโปรดม
มองเห็นความจำเป็นเรื่องการเตรียมครูคำสอนเป็นการเฉพาะ ดังนั้นในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1891 (พ.ศ. 2434) จึงได้ตั้งโรงเรียนครูคำสอนขึ้นที่เกาะดอนโดน
ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำโขงเหนือตัวเมืองนครพนมขึ้นไปประมาณ 4-5 กิโลเมตร โดยมีความประสงค์ที่จะใช้เป็นสถานที่เตรียมผู้ที่จะเป็นพระสงฆ์ด้วย
โรงเรียนที่ตั้งขึ้นที่ดอนโดนจึงเป็นทั้งสามเณราลัย
และโรงเรียนฝึกอบรมครูคำสอนในเวลาเดียวกัน
ภายใต้การดูแลของคุณพ่อเดอลาเล็กซ์
(DELALEX) น่าเสียดายที่ “สามเณราลัยดอนโดน”
หรือ “โรงเรียนดอนโดน” ดำเนินการฝึกอบรมเยาวชนเพื่อเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์และครูคำสอนได้ไม่นานก็พังทลายลงเพราะพายุไต้ฝุ่น ในราวเดือนเมษายน ปี ค.ศ.
1901 (พ.ศ. 2444)
อย่างไรก็ดี สามเณราลัยแห่งนี้ได้ผลิตพระสงฆ์พื้นเมืององค์แรกและองค์เดียวให้แก่พระศาสนจักรท้องถิ่นคือ
คุณพ่ออันตน หมุน ธารา จากอุบลราชธานี และได้ผลิตครูคำสอนที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยงานแพร่ธรรมของมิสซังตามหมู่บ้านต่างๆ
เป็นจำนวนมาก
คุณพ่อซาเวียร เกโก |
1.2
สามเณราลัยนาซาแร็ธ
นครพนม: ค.ศ. 1902-1908
เมื่อสามเณราลัยดอนโดนถูกพายุพัดพังทลายจนยากที่จะซ่อมแซมได้ พระสังฆราชยอแซฟ มารีย์ กืออ๊าส (Joseph Marie CUAZ) ได้สร้างสามเณราลัยแห่งใหม่ในที่ดินที่ผู้มีน้ำใจดียกถวายให้มิสซัง โดยมอบหมายให้คุณพ่อโปรโดม
เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างในปี ค.ศ.
1902 (พ.ศ. 2445) และได้เปิดใช้ในเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ. 1903 (พ.ศ.
2446) พร้อมกับตั้งชื่อสามเณราลัยแห่งใหม่นี้ว่า “สามเณราลัยนาซาแร็ธ” โดยมีคุณพ่อลาซาร์ (LAZARE)
เป็นอธิการ
ปี ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) พระสังฆราชกืออ๊าส ได้ขออนุญาตจากสันตะสำนักเลิกใช้สามเณราลัยนาซาแร็ธ
แต่ได้ใช้เป็นโรงเรียนฝึกอบรมครูคำสอนเพียงอย่างเดียว สามเณรที่ผ่านการอบรมจากสามเณราลัยนาซาแร็ธ ไม่มีใครได้บรรลุถึงขั้นศักดิ์สงฆ์
อย่างไรก็ดี สามเณราลัยแห่งนี้ได้ผลิตครูคำสอนและผู้นำคริสตชนที่ดีมากมายแก่พระศาสนจักร หลังจากนั้นได้ส่งสามเณรไปเรียนที่สามเณราลัยบางช้าง
อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม และสามเณราลัยพระหฤทัย ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตามลำดับ
เป็นเวลา 24 ปี
พระสงฆ์มิชชันนารี สมัยพระสังฆราชยอแซฟ มารีย์ กืออ๊าส ปี ค.ศ. 1903 |
1.3
สามเณราลัยพระหฤทัย
หนองแสง: ค.ศ.1938-1940
การส่งสามเณรไปเรียนในที่ไกลๆ
ก่อให้เกิดปัญหามากมาย การคมนาคมไม่สะดวกเหมือนเช่นปัจจุบัน พระสังฆราชอังเยโล
มารีย์ แกวง (Angelo Marie GOUIN) ได้ตัดสินใจเปิดสามเณราลัยขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่
1 พฤษภาคม ค.ศ. 1938 (พ.ศ. 2481)ในที่ดินของมิสซังที่หนองแสง โดยมีคุณพ่อยวง
แฟรซ์ เป็นอธิการ มีสามเณรในปีแรกจำนวน 16 คน และผู้เตรียมเป็นสามเณรอีก 17 คน
ปี
ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน พระสงฆ์ชาวฝรั่งเศสในภาคอีสานถูกขับไล่ออกนอกประเทศทั้งหมด
วัดวาอารามถูกปิด รวมทั้งสามเณราลัยแห่งนี้ด้วย
สามเณรต้องถูกส่งตัวกลับบ้านไปอยู่กับบิดามารดา กรณีพิพาทครั้งนั้นทำให้อาคารสามเณราลัย 2 หลังที่เพิ่งสร้างเสร็จถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง
สามเณรของบ้านเณรพระหฤทัย หนองแสง ประมาณปี ค.ศ. 1938 (แถวนั่ง คนแรกจากซ้ายคือ สามเณรคายน์ แสนพลอ่อน) |
1.4
สามเณราลัยชั่วคราว
ท่าแร่: ค.ศ.1947-1954
เมื่อสงครามและการเบียดเบียนศาสนาสงบลง คุณพ่อเกลาดิอุส
บาเย (Glaudius BAYET), คุณพ่อเปาโลศรีนวล ศรีวรกุล และคุณพ่อยอห์นบัปติสต์ แท่ง ยวงบัตรี ได้ปรึกษากันจะตั้งสามเณราลัยแห่งใหม่ขึ้น
โดยเห็นพ้องกันว่า สถานที่เก่าที่หนองแสงไม่เหมาะที่จะสร้างสามเณราลัยอีกเพราะตลิ่งแม่น้ำโขงถูกน้ำกัดเซาะพังทลายลงทุกปี
จึงได้ตัดสินใจย้ายไปสร้างที่บ้านท่าแร่ จังหวัดสกลนคร
เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) คุณพ่อศรีนวล ศรีวรกุล ได้ยื่นขออนุญาตเปิดโรงเรียนเซนต์ยอแซฟเป็นครั้งที่ 2 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้การศึกษาอบรมแก่สามเณรและเณรีโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับนักเรียนในพื้นที่ มีสามเณรจากทั่วภาคอีสานสมัครเข้าสามเณราลัยในปีแรกจำนวน
32 คน โดยใช้อาคารของโรงเรียนเป็นที่พักอาศัย
มีคุณพ่อเปโตร วันดี พรหมสาขา ณ สกลนคร
เป็นอธิการ
โรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นทั้งโรงเรียนและสามเณราลัยในเวลาเดียวกัน
กิจการของโรงเรียนเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมีนักเรียนเพิ่มมากขึ้น
รวมถึงจำนวนสามเณรที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ทำให้คณะผู้บริหารของมิสซังคิดที่จะเปิดสามเณราลัยแห่งใหม่ในที่ดินของมิสซังทางทิศตะวันตกของบ้านท่าแร่แยกจากโรงเรียนเซนต์ยอแซฟ
อีกอย่างจำนวนสามเณรก็มากพอที่จะเปิดเป็นโรงเรียนใหม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น