สามปีที่นาบัว-โพนสวาง
ถึง
พี่น้องชาวนาบัว-โพนสวาง ที่รักทุกคน
วันที่
31 มีนาคม 2010 คือวันที่ได้รับแต่งตั้งจากพระอัครสังฆราชหลุยส์
จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
และวัดพระนามเยซู โพนสวาง โดยให้ย้ายจากวัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย เข้าประจำตำแหน่งภายในวันที่
1 พฤษภาคม 2010 แต่เนื่องจากเจ้าอาวาสคนเดิมยังไม่ย้ายออก จึงนัดหมายเป็นวันที่ 8
พฤษภาคม 2010
หนึ่งวันก่อนเข้ารับตำแหน่ง
(7 พฤษภาคม 2010) พายุฤดูร้อนได้พัดบ้านพักพระสงฆ์
วัดไม้หลังเก่า และศาลาประชาคมของวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว ได้รับความเสียหาย
เรียกได้ว่า “งานเข้า” ต้อนรับเจ้าอาวาสคนใหม่ บ้านพักและวัดเก่าสังกะสีถูกพัดหายสี่แผ่น
ส่วนศาลาประชาคมพัดเสียหายทั้งแถบ ไม่สามารถซ่อมแซมได้ เมื่อเดินทางมาถึงในวันรุ่งขึ้น
(8 พฤษภาคม 2010) ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชาวนาบัวทั้งสองหมู่บ้าน
พร้อมกับงานหลายอย่างที่รออยู่ข้างหน้าอย่างท้าทาย ยังจำภาพเหล่านั้นได้ดีไม่เคยลืมเลือน
พายุฤดูร้อนถล่มนาบัวก่อนเข้ารับตำแหน่ง (7 พฤษภาคม 2010)
บ้านพัก วัดไม้และศาลาประชาคมถูกพายุพัดพังเสียหาย
สามปีที่นาบัว-โพนสวางผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากชาวนาบัวและโพนสวาง โดยเฉพาะที่นาบัว
การเตรียมสมโภช 125
ปีแห่งความเชื่อและการแพร่ธรรม งานและโครงการต่างๆ
ได้รับการตอบรับและร่วมแรงร่วมใจกันอย่างคาดไม่ถึง ทำให้งานและโครงการทุกอย่างสำเร็จตามแผนการที่วางไว้
ไม่ว่าจะเป็นการบูรณะวัดไม้คุณพ่อปีแอร์โกลาส์, หอระฆังไม้และซุ้มแม่พระราชินีแห่งสันติภาพ,
โรงครัว, พิพิธภัณฑ์ปีแอร์โกลาส์, ศาลาร่วมใจ “ยวงบัตรี” และการบูรณะบ้านพักพระสงฆ์
(แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์)
สิ่งเหล่านี้คือเครื่องหมายแห่งความเชื่อศรัทธา
ความใจกว้างดั่งมหาสมุทร ความสมัครสมานสามัคคี
และความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องชาวนาบัวทุกหมู่เหล่า
ที่ควรได้รับการยกย่องและกล่าวถึง อาทิ สภาอภิบาลวัด, ผู้นำหมู่บ้านทั้งสองหมู่, กลุ่มคริสตชนพื้นฐานทั้ง
12, กลุ่มพลมารีทั้ง 4 เปรซิเดียม, ครูคำสอน,
เยาวชนและลูกๆ นักเรียนคำสอนทุกคน
วันแรกที่เดินทางมาถึงนาบัว วันที่ 8 พฤษภาคม 2010
ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องชาวนาบัวอย่างอบอุ่น
ส่วนพี่น้องชาวโพนสวาง
ก็ร่วมแรงร่วมใจในงานต่างๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แม้จะเป็นกลุ่มคริสตชนเล็กๆ ทีอยู่ท่ามกลางพี่น้องชาวพุทธ
แต่ได้แสดงออกถึงความเชื่อศรัทธาและความร่วมแรงร่วมใจให้พี่น้องชาวพุทธได้ประจักษ์
จากจำนวนเพียงไม่กี่ครอบครัว แต่เป็นประเภทเล็กพริกขี้หนู ทำให้ศาลาศานติคาม,
หอระฆัง “นันสีทอง” และหอแม่พระเกิดขึ้นอย่างน่าทึ่ง
จากวันที่
8 พฤษภาคม 2010 ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม
2013 นับเป็นเวลาสามปีเต็มที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต ตอนเช้าในพิธีบูชาขอบพระคุณ
ได้โมทนาคุณพระเจ้าสำหรับพระพรนานัปการที่พระองค์ทรงค้ำจุนและช่วยเหลือข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยของพระองค์
ทำให้งานทุกอย่างสำเร็จและผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
อีกทั้งได้ระลึกถึงเป็นพิเศษสำหรับพี่น้องชาวนาบัวและโพนสวางทุกคน
มีการผูกข้อต่อแขนเพื่อเป็นการต้อนรับ
ตามประเพณีท้องถิ่นอีสาน
ได้เลือกที่จะย้ายออกจากนาบัว-โพนสวางในวันที่
7 พฤษภาคม 2013 ซึ่งเป็นวันครบ 3 ปีของการทำหน้าที่ และได้อยู่ทำหน้าที่จนจบวันคือการตีระฆังพรหมถือสารเวลา
18.00 น. เพื่อบอกเวลาให้ชาวนาบัวได้ภาวนาและขอบคุณพระเจ้าพร้อมกันเป็นครั้งสุดท้าย
แม้จะไม่มีโอกาสได้ล่ำลาทุกคน แต่ได้ไปอำลาและภาวนาที่สุสานทั้งที่นาบัวและโพนสวาง
เพื่อเป็นการขอบคุณบรรพชนชาวนาบัว-โพนสวางและฝากทุกคนไว้ในคำเสนอวิงวอนของพวกเขา เป็นยาขมที่กลืนยาก
เป็นกางเขนที่ต้องแบก ...ลาก่อนพี่น้องชาวนาบัว-โพนสวางที่รักทุกคน
ภายหลังที่เดินทางออกจากนาบัว-โพนสวาง
มีคนส่งข้อความมาเตือนสติว่า “วันนี้เราอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เราไม่อยู่แล้ว
วันนี้เขาจำเราได้ พรุ่งนี้เขาก็ลืมเราแล้ว” เพื่อให้ปล่อยวางและไม่ติดยึด
แต่อยากจะบอกว่า “แม้ตัวจะไม่อยู่แล้ว แต่ใจยังอยู่ที่นี่เสมอ แม้ทุกคนจะลืมไม่มีใครจำได้แล้ว
แต่จะยังคงจดจำและภาวนาเพื่อทุกคน” ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่ดีงามที่มีให้กัน พี่น้องชาวนาบัว-โพนสวาง จะอยู่ในความทรงจำและคำภาวนาเสมอ
ยังจดจำภาพเหล่านั้นอยู่เสมอ
จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
รักและคิดถึงทุกคนในพระคริสตเจ้า
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
10 พฤษภาคม
2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น