การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า
วันอาทิตย์
สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
ปี C
|
กจ 1:1-11
อฟ 1:17-23
ลก 24:46-53
|
บทนำ
ใครที่เคยไปแสวงบุญแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่ประเทศอิสราแอล คงไม่พลาดที่จะไปดูมัสยิดเล็กๆ
แห่งหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าบรรดาอัครสาวก
สถานที่แห่งนี้ปัจจุบันกลายเป็นมัสยิดของมุสลิม ซึ่งยังคงแสดงรอยเท้าที่พระเยซูเจ้าประทับไว้ก่อนเสด็จจากโลกนี้ไป
กล่าวกันว่า
นี่คือรอยเท้าสุดท้ายของพระเยซูเจ้าบนโลกที่ผู้แสวงบุญจากทุกมุมโลกต่างพากันไปเยี่ยมชม
พูดถึงเรื่องรอยเท้าของพระเยซูเจ้า มีเรื่องเล่าว่า
คืนหนึ่งชายคนหนึ่งฝันว่าเขากำลังเดินกับพระเยซูเจ้าบนพื้นทราย
เขามองดูและเห็นรอยเท้าสองคู่บนพื้นทราย
คู่หนึ่งเป็นของเขาและอีกคู่หนึ่งเป็นของพระเยซูเจ้า แต่ในช่วงเวลาที่เขาพบกับความยากลำบากในชีวิตเขามองเห็นรอยเท้าบนพื้นทรายเพียงคู่เดียว
ซึ่งเขาแน่ใจว่านั่นคือรอยเท้าของเขา ด้วยความแปลกใจเขาจึงถามพระเยซูเจ้าว่า
“พระเจ้าข้า พระองค์บอกลูกให้ติดตามพระองค์และพระองค์จะอยู่เคียงข้างลูกทุกแห่งที่ไป
แต่ลูกพบว่าในช่วงเวลาที่ลูกมีความทุกข์ระทม ลูกเห็นรอยเท้าเพียงคู่เดียว
ทำไมในช่วงเวลาที่ลูกต้องการพระองค์มากที่สุดพระองค์จึงทอดทิ้งลูก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
“ลูกเอ๋ย เรารักลูกมากและไม่ได้ทิ้งลูกไว้เพียงลำพัง ในช่วงเวลาที่ลูกพบความลำบากที่สุด
รอยเท้าคู่นั้นที่ลูกเห็นคือรอยเท้าของเราเองที่ได้อุ้มลูกไว้”
1. การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า
วันนี้เราสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
เราไม่มีโอกาสเห็นรอยเท้าของพระเยซูเจ้าหรือร่องรอยของพระองค์ในโลกนี้อีกต่อไป เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเจริญพระชนม์ชีพกับบรรดาศิษย์เมื่อสองพันปีก่อนอีกต่อไป
แต่พระวาจาของพระองค์และศีลศักดิสิทธิ์ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นยังคงอยู่
ทำให้เราแต่ละคนกลายเป็น “เครื่องหมาย” ของพระองค์ในโลกเหมือนที่พระองค์ทรงปรารถนา
พระเยซูเจ้าต้องการให้เราแต่ละคนเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นได้ของพระองค์ในโลก
เพื่อคนอื่นที่เห็นเราจะได้เห็นพระองค์ พันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว
และเวลานี้เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสานต่อพันธกิจของพระองค์ และนำข่าวดีแห่งความรอดของพระองค์ไปสู่มนุษยชาติ
“จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป”
(ลก 24:47)
นี่คือ
“พันธกิจสุดท้าย” ที่ทรงมอบหมายก่อนที่พระองค์จะเสด็จจากโลกนี้ไป
พระองค์ทรงมอบหมายให้เราออกไปหาทุกคนทั่วโลก สอนพวกเขาให้กลับใจและบอกพวกเขาให้ทราบว่าพระเยซูเจ้าทรงอภัยบาปทุกคนด้วยความตายบนไม้กางเขน
นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรและของเราทุกคน ผ่านทางการเจริญชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ในความรักต่อกัน
“ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน 13:35)
การเสด็จขึ้นสวรรค์คือการสิ้นสุดภารกิจของพระเยซูเจ้าในโลกนี้
และเริ่มต้นงานของพระศาสนจักรซึ่งหมายถึงงานของเราแต่ละคนด้วย
ในการสานต่อพันธกิจของพระองค์เพื่อการนำความรอดไปสู่ทุกคน
ผ่านทางกิจการดีและการเป็นพยานถึงพระองค์ด้วยชีวิตของเราในแต่ละวัน ในการปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ด้วยการรักกันและกัน
การให้อภัยความผิดของกันและกัน การช่วยเหลือพึงพากันด้วยใจกว้าง
อาศัยความช่วยเหลือของพระจิตเจ้า หากเราดำเนินชีวิตเช่นนี้ เราจะมีบุญได้อยู่ในสวรรค์
2. ความหมายสำหรับเรา
ชาวยิวมีความเชื่อว่ามีสถานที่
3
แห่งในจักรวาล ได้แก่
สถานที่ที่อยู่เหนือฟ้าซึ่งเป็นที่อยู่ของพระเจ้า ส่วนโลกเป็นที่อยู่ของมนุษย์
และสุดท้าย “ใต้บาดาล” (Sheol) เป็นที่อยู่ของผู้ตาย
ซึ่งเป็นที่ที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปเพื่อปลดปล่อยวิญญาณต่างๆ ให้เป็นอิสระหลังจากทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย
นี่เป็นภาษาสัญลักษณ์ซึ่งเราต้องไม่เข้าใจตามตัวอักษร เพราะสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ที่อยู่บนหรือล่าง
สวรรค์คือที่ที่พระเจ้าประทับอยู่
เป็นที่ที่สามารถเห็นพระเจ้าและมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระองค์อย่างครบบริบูรณ์
ดังนั้น เมื่อพูดถึงการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า จึงเป็นการใช้ภาษาแบบมนุษย์เพื่อจะอธิบายให้เราได้เข้าใจว่า
พระเยซูเจ้าประทับอยู่กับพระเจ้า และพระองค์ทรงมีส่วนในสิริมงคลรุ่งเรืองของพระบิดาเจ้าอย่างครบถ้วน
นี่คือความเชื่อพื้นฐานและความยินดีของเราว่า พระเยซูเจ้าทรงได้รับสิริมงคลรุ่งเรือง
และเราจะมีส่วนในสิริมงคลรุ่งเรืองนี้เช่นเดียวกันในวาระสุดท้าย
เราคริสตชนจะต้องสำนึกเสมอว่า
การอยู่ในสวรรค์หมายถึงการอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น
ทุกครั้งที่เราอยู่กับพระเจ้าและสำนึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์
จึงเป็นสวรรค์สำหรับเรา ซึ่งเริ่มแล้วตั้งแต่ในโลกนี้ ในเวลาที่เรามาวัดร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณหรือในเวลาที่เราภาวนาร่วมกันในกลุ่ม
BEC
หรือในครอบครัว พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา
เราอยู่ที่นั่นท่ามกลางพวกเขา” (มธ 18:20)
การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า
ไม่ได้ทำให้คำสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราจะอยู่กับท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ”
(มธ 28:20)
จบลงหรือไร้ความหมาย แต่ทำให้เราเข้าใจดียิ่งขึ้นว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราและทุกครั้งที่เราตระหนักว่าพระเจ้าอยู่กับเรา
นั่นคือสวรรค์ เราจึงมีคำพูดในลักษณะที่ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรามีความรักต่อกัน และมองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ในผู้อื่น
บทสรุป
พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า
โลกนี้เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวที่เราจะต้องผ่านไปสู่บ้านแท้นิรันดร์คือเมืองสวรรค์
พระองค์ตรัสว่า “เราต้องกลับไปหาพระบิดา” เราเช่นเดียวกันต้องกลับไปหาพระบิดา
นี่คือความมุ่งหวังและความปรารถนาของเรา การสมโภชการเสด็จขึ้นสวรรค์ในวันนี้บอกเราว่า
“จงมองดูเป้าหมายที่แท้จริงแห่งชีวิตของเรา
เพ่งสายตาของเราตรงไปยังพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระผู้สร้างของเรา”
พระเยซูเจ้าได้มอบแบบอย่างแก่เรา
ชีวิตทั้งหมดของพระองค์มุ่งตรงไปยังพระบิดาเจ้า ชีวิตของเรากำลังมุ่งไปไหน
กำลังพาเราไปนรกหรือไปสวรรค์ สิ่งต่างๆ ที่เรากำลังกระทำอยู่นำเราไปไหน
ไปหาพระเจ้าหรือไปหาปีศาจ แน่นอนว่า การทะเลาะเบาะแว้ง ความเห็นแก่ตัว
ความอิจฉาริษยา และการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น คงไม่สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องและนำเราไปสวรรค์หาพระเจ้าได้
ข่าวดีเรื่องการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า
ควรได้รับการประกาศผ่านทางชีวิตของเรา
ด้วยการเป็นพยานถึงความรักเมตตาของพระเยซูเจ้า อีกทั้ง กระตุ้นให้เราบอกกล่าวแก่ทุกคนว่า
พระเยซูเจ้าคือเจ้าแห่งสวรรค์และโลก พระองค์ทรงประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รอด
ดังนั้น
การเสด็จขึ้นสวรรค์จึงเป็นเฉลิมฉลองแห่งความหวังและความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
เพื่อมุ่งสู่ความสมบูรณ์คือการอยู่ร่วมสุขกับพระเจ้าในสวรรค์
อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเราทุกคน
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
15 พฤษภาคม 2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น