การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
ปี C
|
อพย 3:1-8,
13-15
1คร 10:1-6,
10-12
ลก 13:1-9
|
บทนำ
แผ่นดินไหวในประเทศเฮติ
เมื่อวันที่ 12
มกราคม ค.ศ. 2010 เป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาด
7 ริกเตอร์ แต่ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่เฮติ
ประเทศเล็กๆ ในคาบสมุทรแคริเบียน โดยเฉพาะกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงได้รับความเสียหายมากที่สุด
เพราะอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวเพียง 25 กิโลเมตร ทางการเฮติยืนยันตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบประมาณ
3 ล้านคน ผู้เสียชีวิตประมาณ 2.5
แสนคน ผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 3 แสนคน
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010
ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกนอกชายฝั่งแคว้นเมาเล ประเทศชิลี
เป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาด 8.8 ริกเตอร์
ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงเป็นอันดับ 7 ของโลกเท่าที่มีการบันทึกไว้
ทางการชิลีได้ยืนยันยอดผู้เสียชีวิตประมาณ 1 พันคน
แม้จะมีผู้เสียชีวิตไม่มากเท่าแผ่นดินไหวในเฮติ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า
1 ล้านคน นี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในโลกในยุคสมัยของเรา
คำถามที่เกิดขึ้นในใจผู้คนเรื่อยมาคือ
ผู้เสียชีวิตจำนวนมากมายเหล่านั้นเป็นคนบาปหรือมีความผิดมากกว่าเราหรือเปล่า
พระวรสารวันนี้ได้ให้คำตอบแก่เรา ในตอนต้นพระเยซูเจ้าได้อ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลสองลุ่มในอิสราแอล
ได้แก่ คนที่ถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตขณะกำลังถวายเครื่องบูชา และคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมล้มทับเสียชีวิต
เราไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับทั้งสองเหตุการณ์เท่าใดนัก แต่สำหรับชาวยิวเชื่อและสอนเสมอมาว่า
“ความทุกข์ยากและความตายเป็นผลของบาป”
1.
การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต
พระเยซูเจ้าทรงใช้สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เพื่อสอนว่า
คนที่ประสบชะตากรรมเช่นนั้นไม่ใช่คนเลวกว่าประชาชนที่กำลังฟังพระองค์ รวมถึงเราในสมัยนี้อาจเลวร้ายกว่าคนที่ตายไปเหล่านั้นหลายเท่า
สิ่งที่พระองค์เน้นคือ ความพินาศแท้จริงของมนุษย์จะเกิดขึ้นหากเขาไม่กลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต
“การกลับใจ” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดไม่กลับไปเดินทางผิดนั้นอีกและหันกลับมาหาพระเจ้า
นี่คือคือเงื่อนไขสำคัญของความไม่พินาศ
การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต เป็นหลักการพื้นฐานของเทศกาลมหาพรต
ความผิดบาปย่อมเรียกร้องการลงโทษตามความยุติธรรม
แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ไถ่กู้ให้รอดพ้น พระองค์ทรงกอบกู้ชาวอิสราเอลให้รอดพ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงในประเทศอียิปต์โดยทางโมเสส
และทรงไถ่กู้เรามนุษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาปโดยทางพระเยซูเจ้า การกลับใจยอมรับความผิดบาปที่ได้กระทำและเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต
จึงเป็นหนทางสู่การได้รับการไถ่กู้จากพระองค์
ในตอนท้ายของพระวรสาร
พระเยซูเจ้าเล่าคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อที่ปลูกในสวนองุ่น ชาวยิวนิยมปลูกต้นมะเดื่อไว้ระหว่างเถาองุ่น
เพื่อหวังพึ่งมันในกรณีที่องุ่นไม่ออกผล โดยปกติต้นมะเดื่อใช้เวลาสามปีเพื่อให้ผล
แต่ในคำอุปมาเจ้าของสวนรอมาสามปีแล้วแต่ยังไม่มีผลเขาจึงอยากโค่นมันทิ้ง
แต่คนสวนได้วิงวอนขอโอกาสอีกเป็นปีสุดท้าย คำอุปมานี้มีความหมายสำหรับชาวยิวและสำหรับเราทุกคน
พระเจ้าได้ให้โอกาสสุดท้ายแก่เราผ่านทางพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงคาดหวังให้เราเกิดผลและทรงให้โอกาสเรากลับใจ
หากเราไม่กลับใจคงต้องพินาศเหมือนชนชาติอิสราแอล ที่ถูกกองทัพโรมันทำลายอย่างย่อยยับในปี ค.ศ. 70
สูญเสียความเป็นชาติและกระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ ต้นมะเดื่อกำลังจะถูกทำลายเพราะความบกพร่องไม่ตระหนักถึงความสามารถของมัน
การมีความรู้ความสามารถแต่ไม่ใช้ประโยชน์ การมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่นแต่ไม่ทำคือความบาปอย่างหนึ่ง
พระเจ้าไม่ได้ขอให้เราทำสิ่งที่เกินกำลัง
แต่ทรงต้องการให้เราลงมือทำตามขอบเขตความสามารถของเรา
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้
ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันหลายประการ
ประการแรก เราต้องกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต เราไม่ทราบว่าชีวิตของเราจะต้องพบกับเหตุการณ์เลวร้ายอะไรบ้าง
เราจึงต้องหันมาหาพระเยซูเจ้า องค์แห่งความเมตตาที่จะช่วยเราให้ได้รับชีวิตนิรันดร
เทศกาลมหาพรต เป็นช่วงเวลาพิเศษแห่งการใกล้ชิดพระเจ้า ผ่านทางพิธีกรรมและธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ
แต่สิ่งสำคัญคือการกลับใจใช้โทษบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับศีลอภัยบาปเครื่องหมายแห่งการสำนึกผิดและปรารถนาที่จะใกล้ชิดพระเจ้า
เปิดดวงใจของเราสู่สันติสุข ความจริงและความรักของพระเจ้า
ประการที่สอง เราต้องเป็นต้นมะเดื่อที่เกิดผล
ต้นไม้แห่งชีวิตของเราจะต้องทำให้เกิดผลอย่างอุดม
ผลที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากเราในเทศกาลมหาพรตนี้คือ การฟื้นฟูชีวิตของเราให้เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมความรัก
ความเมตตากรุณา การให้อภัยและการรับใช้ที่สุภาพปราศจากความเห็นแก่ตัว
ให้เราได้เริ่มต้นการเกิดผลนี้ในครอบครัวของเรา ด้วยการปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ก่อนจะขนายไปสู่หมู่คณะและสังคม ในความใส่ใจต่อคนยากจน คนป่วย
ผู้สูงอายุและผู้ที่ถูกทอดทิ้ง
ประการที่สาม เราต้องใช้โอกาสที่พระเจ้าประทานให้เกิดประโยชน์ พระบิดาเจ้า องค์แห่งความเมตตาได้ให้โอกาสเราเสมอ เช่นเดียวกับที่ทรงให้โอกาสและเลือกเปโตร
ผู้สำนึกผิดให้เป็นหัวหน้าพระศาสนจักร หรือเซาโล ผู้เบียดเบียนให้เป็นผู้แพร่ธรรมสำหรับคนต่างศาสนา
ตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ ให้เราได้ใช้โอกาสในการกลับใจหันมาหาพระเจ้า ที่ประสงค์นะใช้เราเป็นดังคนสวนในคำอุปมา
เพื่อช่วยพระองค์ในการพรวนดินรดน้ำครอบครัวและหมู่คณะของเราให้เกิดผล และเติบโตยิ่งขึ้นในพระหรรษทานของพระองค์
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
เรียกให้เราออกจากตัวเอง สำนึกในโอกาสที่พระองค์ทรงมอบให้ และกลับใจมาหาพระองค์
นี่คือเงื่อนไขสำคัญที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของเทศกาลมหาพรต
ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินชีวิตเสียใหม่ ลด ละ เลิกความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ
หันกลับมาหาพระเจ้าและเดินในหนทางที่ถูกต้อง
พระเจ้าคือผู้ที่ แสวงหา (ออกไปหาผลจากต้นมะเดื่อที่ปลูกไว้)
รอคอย (รอคอยผลจากต้นมะเดื่อต้นนั้นสามปี) และให้โอกาส (รอคอยผลของต้นมะเดื่ออีกครั้ง)
นี่คือธรรมชาติของพระเจ้า เราแต่ละคนพึงแสวงหาพระเจ้าอย่างใกล้ชิด
และทำตนให้เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์อยู่เสมอ เพื่อเราจะได้ไม่พินาศไป อีกทั้ง
มีส่วนในความศักดิ์สิทธิ์และร่วมส่วนในความชื่นชมยินดีของพระองค์เมื่อโอกาสสุดท้ายของเรามาถึง
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว1 มีนาคม 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น