วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

เขาไม่ใช่พวกเรา

เขาไม่ใช่พวกเรา


วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา ปี B

กดว 11:16-17,25-29
ยก 5:1-6
มก 9:38-43,47-48

บทนำ

มีเรื่องเล่าว่า ในอาณาจักรโบราณอาณาจักรหนึ่ง ช่างปั้นหม้อคนหนึ่งเกิดความอิจฉาในความร่ำรวยของช่างซักรีด จึงคิดหาทางทำลายโดยออกอุบายจูงใจกษัตริย์ให้ออกประกาศหาคนที่มีความสามารถในการทำความสะอาดช้างทรงของพระองค์ให้ขาวสะอาด ช่างซักรีดอาสารับงานนี้ตามที่ช่างปั้นหม้อคาดการไว้ไม่มีผิด เพียงแต่ขอให้กษัตริย์หาพาชนะขนาดใหญ่ที่สามารถนำช้างลงแช่น้ำ เพื่อเขาจะทำความสะอาดตามหลักวิชาชีพของเขาได้ง่ายขึ้น

กษัตริย์ได้สั่งให้ช่างฝีมือทำพาชนะขนาดใหญ่สำหรับทำความสะอาดช้าง แต่เมื่อช้างก้าวย่างเข้าในพาชนะที่ทำขึ้นนั้น น้ำหนักอันมหาศาลของสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดทำให้พาชนะแตกเป็นชิ้นๆ แม้จะพยายามทำพาชนะขึ้นมาอีกหลายครั้งแต่ก็แตกทุกครั้งไป ช่างซักรีดไม่สามารถทำงานตามความประสงค์ของกษัตริย์ได้ทำให้กษัตริย์ทรงกริ้ว ช่างปั้นหม้อสามารถทำลายชื่อเสียงของช่างซักรีดได้ตามที่เขาต้องการ

บ่อยครั้งความอิจฉาริษยาอาจบดบังตาคนเราให้บอดมืด ทำให้เดินทางผิดและปิดกั้นเรามิให้เติบโตในความดี ความอิจฉาริษยาคือรากและที่มาของการทะเลาะวิวาท ทำให้เกิดความร้าวฉานและแตกแยก ไม่เพียงในพระศาสนจักรเท่านั้นแต่ในสังคมและครอบครัว ระหว่างพรรคพวกเพื่อนฝูง สามีภรรยา โดยเฉพาะในสังคมไทยในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกแยกรุนแรง มีการแบ่งสีเลือกข้าง จนยากที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้

ในอดีตพระศาสนจักรเคยมีคำสอนที่ว่า “นอกพระศาสนจักรแล้วไม่มีความรอด” (Extra Ecclesiam nulla salus) ซึ่งเป็นความคิดของนักบุญซีเปรียนที่มีอิทธิพลอย่างมากก่อนสังคายนาวาติกันที่ 2 แต่ในความเป็นจริง เราพบคนที่มีคุณธรรมสูงส่งนอกพระศาสนจักร แม้พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นคริสตชน แต่กลับมีชีวิตที่ดีและน่ายกย่องกว่าคริสตชนเสียอีก ความโน้มเอียงในลักษณะเช่นนี้คือสิ่งที่เราได้ยินในพระวรสารวันนี้

1. เขาไม่ใช่พวกเรา

บรรดาสาวกไม่เข้าใจและรับไม่ได้ ที่เห็นคนหนึ่งขับไล่ปีศาจในพระนามของพระเยซูเจ้า จึงได้ห้ามปรามเพราะ “เขาไม่ใช่พวกเรา” ท่าทีเช่นนี้คือท่าทีของการแบ่งพรรคแบ่งพวก ถือเขาถือเรา ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับทัศนคติของพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่มีใครสามารถทำอัศจรรย์ในนามของเรา และต่อมาจะว่าร้ายเราทันทีได้” ทั้งนี้เพราะทรงต้องการให้เราได้ทำงานเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและสันติสุข มิใช่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างอยุติธรรมเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจผิด การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหลายครั้งมาจากความยิ่งยโสและอคติ

พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เรามีความอดทนและใจกว้าง ในการทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักแก่คนอื่น โดยทรงยืนยันว่า “ผู้ใดที่ไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” พระองค์ทรงสอนให้เราเป็นคนดีบริบูรณ์เหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์ “พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม” (มธ 5:45) ทรงรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยก

ในตอนท้ายของพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสอย่างชัดเจนและหนักแน่น เรื่องความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวเราแต่ละคน ทรงเรียกร้องให้เราใช้มาตรการเด็ดขาดในการเอาชนะบาปและความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า ชีวิตนิรันดรประเสริฐยิ่งกว่าอวัยวะที่มีประโยชน์ในตัวเรา เช่น มือ เท้า ตา ใครสามารถบังคับควบคุมตนเองได้ กล่าวคือมีมโนธรรมที่บริสุทธิ์ย่อมบรรลุถึงชีวิตนิรันดร

2. บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก เราต้องเป็นผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว เราสามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ โดยเริ่มจากครอบครัวของเรา สังคมรอบข้างและวัดของเรา ไม่ทำตัวเป็นตัวปัญหาที่ขัดขวางความเจริญของส่วนรวม ในอีกด้านหนึ่ง เราต้องเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะแต่ละคนต่างมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของตน ดังเช่น วอลแตร์ ที่ได้มอบหลักการเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ข้าพเจ้าเกลียดสิ่งที่ท่านพูด แต่ข้าพเจ้าจะยอมตายเพื่อให้สิทธิท่านได้พูด”

ประการที่สอง เราต้องเคารพความเชื่อที่แตกต่าง เปิดใจกว้างต่อความจริงในศาสนาอื่น การเคารพความเชื่อที่แตกต่างนำไปสู่ความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา รับรู้คุณค่าที่มีในแต่ละศาสนา และร่วมมือกันสร้างสรรค์ภราดรภาพและสันติภาพในสังคม สังคายนาวาติกันที่ 2 ย้ำว่า “พระศาสนจักรพิจารณาด้วยความเคารพอย่างจริงใจในวิธีปฏิบัติและการดำรงชีวิต ตลอดจนกฎและพระธรรมคำสอนเหล่านี้ของศาสนาอื่นๆ ซึ่งถึงแม้จะแตกต่างจากที่พระศาสนจักรสอนหลายประการ แต่บ่อยครั้ง ก็นำแสงสว่างแห่งความจริงมาส่องสว่างให้แก่มนุษย์ทุกคน”

ประการที่สาม เราต้องมีใจหนักแน่นในการเอาชนะบาป พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราได้ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการต่อสู้และเอาชนะความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ ในตัวเรา ความรอดนิรันดรต้องเป็นเป้าหมายสำคัญและประเสริฐกว่าสิ่งใดๆ ที่เราจะต้องมุ่งไปให้ถึง แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากหรือต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญไปก็ต้องทำ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความจริง ความดีและความถูกต้อง

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ในบท “ข้าแต่พระบิดา” เราภาวนาเสมอว่า “พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์” ดังนั้น เราต้องตระหนักที่จะยอมทนลำบากและปฏิเสธตนเอง เพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าในโลกนี้สำเร็จ อาศัยการปฏิบัติตนเช่นนี้เท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติสุขและความรอดสำหรับเรา

ให้เรามีความยินดีที่จะยอมมอบตนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และมีความเพียรทนในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งสีเลือกข้าง ถือเขาถือเรา ไม่คิดว่าตนเองคือความถูกต้องหรือดีกว่าคนอื่น ขอให้การเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทที่เรามาร่วมทุกอาทิตย์ ได้เปิดตาของเราให้มองเห็นความดีของผู้อื่น จงทำดีแม้ไม่มีใครเห็นหรือให้รางวัล เพื่อเราจะได้สรรเสริญและถวายเกียรติแด่พระเจ้า ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความดีทั้งปวง

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
Lourdes, France
September 29, 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น