วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

พระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน


พระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 24
เทศกาลธรรมดา
ปี B
อสย 50:5-9
ยก 2:14-18
มก 8:27-35

บทนำ

 มีคำถามที่ถกเถียงกันมากในศตวรรษที่ 19 ว่า “ใครคืออัจฉริยะด้านวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” ปรากฏชื่อบุคคลสำคัญ 2 คนให้ตัดสินคือ วิลเลียม เชกสเปียร์ กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ กับพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งชาร์ลส์ แลมป์ (Charles Lamb) นักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษได้ให้ข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ความแตกต่างระหว่างบุคคลทั้งสองคือ ถ้าเชกสเปียร์เดินเข้ามาในห้องเวลานี้ เราทั้งหมดจะยืนขึ้นต้อนรับเขา แต่ถ้าพระเยซูเจ้าเสด็จมา เราจะกราบลงและนมัสการพระองค์”

นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ กับบุคคลที่เราคิดว่าสำคัญที่สุด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ขณะที่คนอื่นทั้งหลายเป็นเพียงมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเราให้รู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัว ดังนั้น พระองค์จึงเชื้อเชิญเราให้ค้นหา รักและรับใช้พระองค์ ด้วยการเปิดหัวใจของเราเพื่อเรียนรู้และมีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับพระองค์ เพื่อเราจะสามารถรู้ได้ว่าพระองค์เป็นใครสำหรับเรา มีความหมายอย่างไรสำหรับชีวิตของเรา

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้า เนื่องจากไม่เคยพบเห็นพระองค์หรือไม่มีใครพูดถึงพระองค์ให้พวกเขาฟัง คำถามที่ว่า “พระเยซูเจ้าเป็นใคร” จึงเป็นคำถามที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด และมีผู้ให้คำตอบมากมายหลายแบบแตกต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน ในวันนี้พระเยซูเจ้าทรงถามเราแต่ละคน “ท่านละคิดว่าเราเป็นใคร”

1.           พระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงถามความเห็นจากบรรดาสาวกว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” สมัยนั้นยังไม่มีการสำรวจประชามติ (Poll) เหมือนในปัจจุบัน วิธีที่ง่ายที่สุดคือถามความเห็นจากคนใกล้ชิด และพวกเขาได้สะท้อนคำตอบของประชาชนในลักษณะต่างๆ อาทิ ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง ประกาศกเอลิยาห์หรือประกาศกคนใดคนหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับพระเยซูเจ้ามิใช่ความเห็นของประชาชน แต่เป็นคำตอบของบรรดาสาวกและเราแต่ละคนว่า “พระองค์เป็นใครสำหรับเรา”

เปโตรได้ทูนตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” คำว่า “พระคริสต์” ในภาษากรีกมีความหมายเดียวกันกับคำว่า “พระแมสสิยาห์” ในภาษาฮีบรูซึ่งหมายถึง “ผู้ได้รับเจิม” หรือพระผู้ช่วยให้รอด ตลอดเวลายาวนานชาวยิวรอคอยพระแมสสิยาห์ มาปลดปล่อยพวกเขาจากการกดขี่ของพวกทหารโรมัน ซึ่งเป็นความเข้าใจทางด้านการเมืองเหมือนอัศวินขี่ม้าขาว พวกเขาไม่เคยคิดว่าพระแมสสิยาห์จะเป็น “พระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน” เพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากบาป

พระเยซูเจ้าได้เปิดเผยให้บรรดาอัครสาวกทราบเป็นครั้งแรกว่า พระองค์จะต้องรับการทรมาน ถูกประหารชีวิตและกลับคืนชีพในวันที่สาม พระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่ใช่ในฐานะผู้นำทางการเมือง แต่เป็นพระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน ซึ่งเปโตรเองไม่เข้าใจและรับไม่ได้ จึงได้รับบทเรียนราคาแพง “เจ้าซาตาน! ไปให้พ้น” และพระองค์ได้ใช้โอกาสนั้นท้าทายสาวกและเราแต่ละคน: 1) ให้เลิกนึกถึงตนเอง, 2) แบกไม้กางเขนของตน และ 3) ติดตามพระองค์ นี่คือเงื่อนไขสำคัญของการเป็นศิษย์และเป็นคริสตชน

2.           บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก พระเยซูเจ้าเป็นใครสำหรับเรา เราสามารถกล่าวได้ไหมว่า พระเยซูเจ้าคือผู้ที่เราเชื่อและรักมากที่สุด พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทางชีวิตและเป็นทุกอย่างสำหรับชีวิตของเรา ปราศจากพระองค์เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นหลักชัยแห่งชีวิตและทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าและความหมาย ทั้งนี้เพราะ พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเรา รักเรา อภัยบาปเรา ช่วยเหลือเราและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

ประการที่สอง เราต้องเลิกนึกถึงตนเอง ด้วยการมอบตนเองแด่พระเจ้า ยึดถือพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นลำดับแรกมากกว่าน้ำใจของเรา อีกทั้ง ทำความสะอาดจิตใจและปรับเปลี่ยนชีวิตของเราจากนิสัยไม่ดีต่างๆ สวมใส่จิตใจใหม่ของพระเจ้า ให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับพระองค์ เพื่อเราจะสามารถแบ่งปันพระองค์กับผู้อื่น นี่คือการเลิกนึกถึงตนเอง ปฏิเสธตนเองและตอบรับต่อพระเจ้า

ประการที่สาม เราต้องแบกกางเขนของตน เราต้องมีประสบการณ์พระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน เปโตรไม่เข้าใจว่าทำไมพระคริสตเจ้าต้องรับทุกข์ทรมาน หลายครั้งเราเองก็เหมือนเปโตร ไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งเลวร้ายต่างๆ จึงเกิดขึ้นกับเรา ความทุกข์ต่างๆ ในโลกนี้แม้บางครั้งเราไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยก็มีความหมายสำหรับเรา เพราะนี่คือกางเขนที่เราต้องแบกร่วมกับพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นมุมมองใหม่ที่ทำให้ชีวิตของเรามีความหวังและกำลังใจ

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสตเจ้า ที่ทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย เราจึงต้องเชื่อและหมั่นมาหาพระองค์บ่อยๆ ทางศีลศักดิ์สิทธิ์  ในพิธีบูชาขอบพระคุณและการภาวนา เพื่อเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และเพื่อนพี่น้อง ชีวิตของเราจะต้องเป็นพยานแห่งพระวรสารและเครื่องหมายที่มองเห็นได้ ที่ทำให้คนอื่นได้รู้ว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร และมีความหมายอย่างไรสำหรับเรา

ประการสำคัญ เราต้องเลิกนึกถึงตนเอง แบกไม้กางเขนของตนและติดตามพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงนอบน้อมเชื่อฟังพระบิดา ทรงรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยกและรับใช้จนถึงที่สุดคือความตายบนไม้กางเขน ขอให้เราได้เปิดดวงใจของเราต่อหนทางแห่งไม้กางเขนและพระทรมานของพระองค์ เพื่อจะได้ตระหนักในชีวิตของตนบนเส้นทางแห่งการรับใช้ แสวงหาพระประสงค์ของพระบิดามากกว่าน้ำใจของตน และพร้อมที่จะพลีชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
14 กันยายน 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น