พระคริสตเจ้า
ผู้รับการทรมาน
วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 24
เทศกาลธรรมดา
ปี B
|
อสย 50:5-9
ยก 2:14-18
มก 8:27-35
|
บทนำ
มีคำถามที่ถกเถียงกันมากในศตวรรษที่
19 ว่า “ใครคืออัจฉริยะด้านวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล”
ปรากฏชื่อบุคคลสำคัญ 2 คนให้ตัดสินคือ วิลเลียม เชกสเปียร์
กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ กับพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งชาร์ลส์
แลมป์ (Charles
Lamb) นักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษได้ให้ข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“ความแตกต่างระหว่างบุคคลทั้งสองคือ ถ้าเชกสเปียร์เดินเข้ามาในห้องเวลานี้
เราทั้งหมดจะยืนขึ้นต้อนรับเขา แต่ถ้าพระเยซูเจ้าเสด็จมา
เราจะกราบลงและนมัสการพระองค์”
นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ
กับบุคคลที่เราคิดว่าสำคัญที่สุด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
ขณะที่คนอื่นทั้งหลายเป็นเพียงมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเราให้รู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัว
ดังนั้น พระองค์จึงเชื้อเชิญเราให้ค้นหา รักและรับใช้พระองค์
ด้วยการเปิดหัวใจของเราเพื่อเรียนรู้และมีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับพระองค์
เพื่อเราจะสามารถรู้ได้ว่าพระองค์เป็นใครสำหรับเรา
มีความหมายอย่างไรสำหรับชีวิตของเรา
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้า
เนื่องจากไม่เคยพบเห็นพระองค์หรือไม่มีใครพูดถึงพระองค์ให้พวกเขาฟัง คำถามที่ว่า “พระเยซูเจ้าเป็นใคร”
จึงเป็นคำถามที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด
และมีผู้ให้คำตอบมากมายหลายแบบแตกต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน ในวันนี้พระเยซูเจ้าทรงถามเราแต่ละคน
“ท่านละคิดว่าเราเป็นใคร”
1.
พระคริสตเจ้า
ผู้รับการทรมาน
ในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าทรงถามความเห็นจากบรรดาสาวกว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร”
สมัยนั้นยังไม่มีการสำรวจประชามติ (Poll) เหมือนในปัจจุบัน
วิธีที่ง่ายที่สุดคือถามความเห็นจากคนใกล้ชิด
และพวกเขาได้สะท้อนคำตอบของประชาชนในลักษณะต่างๆ อาทิ ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
ประกาศกเอลิยาห์หรือประกาศกคนใดคนหนึ่ง
แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับพระเยซูเจ้ามิใช่ความเห็นของประชาชน
แต่เป็นคำตอบของบรรดาสาวกและเราแต่ละคนว่า “พระองค์เป็นใครสำหรับเรา”
เปโตรได้ทูนตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า”
คำว่า “พระคริสต์” ในภาษากรีกมีความหมายเดียวกันกับคำว่า “พระแมสสิยาห์”
ในภาษาฮีบรูซึ่งหมายถึง “ผู้ได้รับเจิม” หรือพระผู้ช่วยให้รอด
ตลอดเวลายาวนานชาวยิวรอคอยพระแมสสิยาห์ มาปลดปล่อยพวกเขาจากการกดขี่ของพวกทหารโรมัน
ซึ่งเป็นความเข้าใจทางด้านการเมืองเหมือนอัศวินขี่ม้าขาว
พวกเขาไม่เคยคิดว่าพระแมสสิยาห์จะเป็น “พระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน”
เพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากบาป
พระเยซูเจ้าได้เปิดเผยให้บรรดาอัครสาวกทราบเป็นครั้งแรกว่า
พระองค์จะต้องรับการทรมาน ถูกประหารชีวิตและกลับคืนชีพในวันที่สาม พระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด
ไม่ใช่ในฐานะผู้นำทางการเมือง แต่เป็นพระคริสตเจ้า ผู้รับการทรมาน ซึ่งเปโตรเองไม่เข้าใจและรับไม่ได้
จึงได้รับบทเรียนราคาแพง “เจ้าซาตาน! ไปให้พ้น”
และพระองค์ได้ใช้โอกาสนั้นท้าทายสาวกและเราแต่ละคน: 1)
ให้เลิกนึกถึงตนเอง, 2) แบกไม้กางเขนของตน และ 3) ติดตามพระองค์
นี่คือเงื่อนไขสำคัญของการเป็นศิษย์และเป็นคริสตชน
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ
ประการแรก
พระเยซูเจ้าเป็นใครสำหรับเรา เราสามารถกล่าวได้ไหมว่า
พระเยซูเจ้าคือผู้ที่เราเชื่อและรักมากที่สุด
พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทางชีวิตและเป็นทุกอย่างสำหรับชีวิตของเรา
ปราศจากพระองค์เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นหลักชัยแห่งชีวิตและทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าและความหมาย
ทั้งนี้เพราะ พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเรา รักเรา อภัยบาปเรา
ช่วยเหลือเราและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
ประการที่สอง เราต้องเลิกนึกถึงตนเอง
ด้วยการมอบตนเองแด่พระเจ้า
ยึดถือพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นลำดับแรกมากกว่าน้ำใจของเรา อีกทั้ง
ทำความสะอาดจิตใจและปรับเปลี่ยนชีวิตของเราจากนิสัยไม่ดีต่างๆ สวมใส่จิตใจใหม่ของพระเจ้า
ให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับพระองค์
เพื่อเราจะสามารถแบ่งปันพระองค์กับผู้อื่น นี่คือการเลิกนึกถึงตนเอง
ปฏิเสธตนเองและตอบรับต่อพระเจ้า
ประการที่สาม เราต้องแบกกางเขนของตน
เราต้องมีประสบการณ์พระคริสตเจ้า
ผู้รับการทรมาน เปโตรไม่เข้าใจว่าทำไมพระคริสตเจ้าต้องรับทุกข์ทรมาน
หลายครั้งเราเองก็เหมือนเปโตร ไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งเลวร้ายต่างๆ จึงเกิดขึ้นกับเรา
ความทุกข์ต่างๆ ในโลกนี้แม้บางครั้งเราไม่เข้าใจ
แต่อย่างน้อยก็มีความหมายสำหรับเรา เพราะนี่คือกางเขนที่เราต้องแบกร่วมกับพระเยซูเจ้า
ซึ่งเป็นมุมมองใหม่ที่ทำให้ชีวิตของเรามีความหวังและกำลังใจ
บทสรุป
พี่น้องที่รัก
พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสตเจ้า ที่ทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย เราจึงต้องเชื่อและหมั่นมาหาพระองค์บ่อยๆ
ทางศีลศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีบูชาขอบพระคุณและการภาวนา
เพื่อเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และเพื่อนพี่น้อง ชีวิตของเราจะต้องเป็นพยานแห่งพระวรสารและเครื่องหมายที่มองเห็นได้
ที่ทำให้คนอื่นได้รู้ว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร และมีความหมายอย่างไรสำหรับเรา
ประการสำคัญ เราต้องเลิกนึกถึงตนเอง แบกไม้กางเขนของตนและติดตามพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงนอบน้อมเชื่อฟังพระบิดา ทรงรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยกและรับใช้จนถึงที่สุดคือความตายบนไม้กางเขน
ขอให้เราได้เปิดดวงใจของเราต่อหนทางแห่งไม้กางเขนและพระทรมานของพระองค์
เพื่อจะได้ตระหนักในชีวิตของตนบนเส้นทางแห่งการรับใช้ แสวงหาพระประสงค์ของพระบิดามากกว่าน้ำใจของตน
และพร้อมที่จะพลีชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว14 กันยายน 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น