แก่นแท้ของบทบัญญัติ
วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 22
เทศกาลธรรมดา
ปี B
|
ฉธบ 4:1-2,6-8
ยก 1:17-18,21-22,27
มก 7:1-8,14-15,21-23
|
บทนำ
มุลลาห์ นัสรุดดิน พบแหวนเพชรน้ำงามวงหนึ่งตกอยู่บนถนน ตามบทบัญญัติของศาสนาบอกว่า
ผู้พบเห็นจะสามารถเก็บไว้เป็นของตนเองได้ก็ต่อเมื่อ เขาได้ประกาศกลางตลาด 3 ครั้งในเวลาที่ต่างกันว่า เขาได้พบสิ่งนั้นและไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าของแล้วเท่านั้น
นัสรุดดินเป็นคนเคร่งศาสนา ไม่อยากได้ชื่อว่าละเมิดกฎเกณฑ์ของศาสนา
แต่เขามีความละโมบเกินกว่าที่จะปล่อยให้แหวนเพชรล้ำค่านั้นหลุดมือไป
นัสรุดดินได้ย่องไปที่ตลาดในเวลากลางคืนที่ไม่มีใครเห็นและประกาศเบาๆ
ว่า “ดูนี่ ฉันได้พบแหวนเพชรบนถนน
ใครที่รู้ตัวว่าเป็นเจ้าของกรุณาติดต่อฉันด่วน” ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพรำของเขา
เว้นแต่ชายคนหนึ่งที่บังเอิญยืนอยู่ที่หน้าต่างบ้านของตนในคืนที่สาม เขารีบไปหานัสรุดดินเพื่อถามว่ามาทำอะไรและพูดอะไรกลางตลาดยามค่ำคืนเช่นนี้
นัสรุดดินตอบว่า “ฉันไม่มีหน้าที่ที่จะต้องบอกคุณ
สิ่งที่ฉันบอกได้คือฉันเป็นคนเคร่งศาสนา ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามบทบัญญัติของศาสนา”
จากนั้นเขาได้เอาแหวนเพชรวงนั้นใส่กระเป๋าและเดินจากไป
บทบัญญัติ
ระเบียบ กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่สิ่งที่สมบูรณ์ครบครัน
เป็นเพียงวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย
สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคหากมิได้รับใช้เป้าหมายตามที่ได้วางไว้
บ่อยครั้งการถือตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดได้กลายเป็นความผิดหลง นอกจากไม่ได้ช่วยใครให้ได้พบกับพระเจ้า
ยังเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นมิให้คนที่ปฏิบัติได้พบกับพระเจ้าด้วย
1.
แก่นแท้ของบทบัญญัติ
ในศาสนายิวมี “บทบัญญัติที่จารึกไว้” (Written Law) ได้แก่ หนังสือห้าเล่มแรก (Torah) ที่เรียกว่า “บทบัญญัติของโมเสส” กับ “บทบัญญัติที่เล่าสืบต่อกันมา”
(Oral
Law) ได้แก่ สิ่งที่พวกธรรมาจารย์เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อขยายความบทบัญญัติของโมเสส
โดยมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนายิวและธรรมบัญญัติของพระเจ้า
ในสมัยของพระเยซูเจ้าบทบัญญัตินี้เป็นที่รับรู้และเรียกว่า “ธรรมเนียมของบรรพบุรุษ”
ในพระวรสารตอนแรก พระยซูเจ้าทรงประณามพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี เพราะธรรมเนียมเหล่านี้
(การล้างมือตามพิธีก่อนรับประทานอาหาร) ที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ถือตาม “ท่านทั้งหลายละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า
(จงรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์) และกลับไปถือธรรมเนียมของมนุษย์” ในตอนที่สอง
พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงกฎเกี่ยวกับอาหารของศาสนายิว การรับประทานอาหารบางชนิด
(เนื้อสุกร) ซึ่งทำให้มนุษย์เป็นมลทินและไม่สมควรที่จะเข้าร่วมพิธีกรรม
ในพระศาสนจักรยุคแรก คริสตชนที่มีต้นกำเนิดมาจากศาสนายิวพยายามที่จะบังคับใช้กฎเหล่านี้กับคริสตชนที่มาจากพื้นเพอื่น
นักบุญมาระโกไม่เห็นด้วยและอ้างถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า เฉพาะสิ่งที่ออกมาจากใจมนุษย์
(คำหยาบคายและการกระทำที่ชั่วร้าย) ที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน พระองค์ได้ตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีอย่างรุนแรงด้วยการอ้างถ้อยคำของประกาศอิสยาห์
“ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา” พระองค์ทรงต้องการให้การกระทำของเราสอดคล้องกับคำพูดของเรา
พระเยซูเจ้าได้สอนชาวยิวว่า
สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอก แต่สิ่งที่ออกมาจากใจต่างหาก
สิ่งต่างๆ ในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งที่เป็นมลทินหรือไม่เป็นมลทิน
เพราะทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมาล้วนแต่ดีทั้งนั้น แต่เป็นมนุษย์ที่ทำให้เป็นมลทิน
การกระทำของแต่ละคนบ่งบอกเจตนาและความต้องการของเขา บทบัญญัติต่างๆ
จะต้องนำมนุษย์ไปหาพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง นี่คือแก่นแท้และหัวใจของบทบัญญัติ
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ
ประการแรก
เราต้องปฏิบัติตามและรักษาจิตตารมย์ของบทบัญญัติ
ไม่ปฏิบัติตามตัวอักษรเพื่อสนองความต้องการหรือผลประโยชน์ของเรา
บทบัญญัติจะต้องช่วยเราให้รักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมากขึ้น
เช่นการมาวัดวันอาทิตย์ เพื่อนมัสการพระเจ้าพร้อมกับหมู่คณะ มอบชีวิตและความต้องการของเราแด่พระองค์
ขอสมาโทษพระองค์สำหรับบาปที่เรากระทำ ขอบคุณพระองค์สำหรับพระพรต่างๆ
และรับพระองค์ในศีลมหาสนิทเพื่อเป็นพลังสำหรับเราในการรักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องในชีวิตประจำวัน
ประการที่สอง เราต้องแสวงหาพระประสงค์ของเจ้าและแสดงออกในการกระทำ
พระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตของเรา
และต้องแสดงออกในการกระทำ ในการรักพระเจ้าในบุคคลที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ
ชีวิตของเราจะต้องแสวงหาและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ประการที่สาม เราต้องต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีมลทินเกิดจากใจของมนุษย์
ใจของเราเป็นบ่อเกิดของความชั่วช้าและการกระทำที่ผิด อาทิ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ความเกียจชัง เราจึงต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
ด้วยการคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องทางศีลอภัยบาปทุกครั้งที่เราทำบาป
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า
มิใช่การถือปฏิบัติตามบทบัญญัติ ธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีกรรมภายนอกที่สำคัญ
แต่เป็นความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องต่างหาก ที่เป็นแก่นแท้และหัวใจของทุกสิ่ง
ที่จะช่วยให้การปฏิบัติศาสนาในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งมีคุณค่าและความหมาย
ความรักในใจของเราต้องเป็นแรงจูงใจเราในการทำสิ่งต่างๆ เพราะถ้าไม่มีความรัก
ทุกสิ่งที่เราทำก็ไม่มีค่าใดๆ (เทียบ 1 คร 13:2)
การปฏิบัติศาสนาของเราจะต้องไม่ใช่ภาวะบีบคั้นที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่พิธีกรรม ระเบียบ กฎเกณฑ์และบทบัญญัติทางศาสนาต้องช่วยเพิ่มพูนความรักในใจเรา
ทั้งต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนพี่น้องในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เป็นต้น ในครอบครัว หมูคณะและหมู่บ้านของเรา
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว31 สิงหาคม 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น