วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แก่นแท้ของบทบัญญัติ


แก่นแท้ของบทบัญญัติ

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 22
เทศกาลธรรมดา
ปี B
ฉธบ 4:1-2,6-8
ยก 1:17-18,21-22,27
มก 7:1-8,14-15,21-23

บทนำ

 มุลลาห์ นัสรุดดิน พบแหวนเพชรน้ำงามวงหนึ่งตกอยู่บนถนน ตามบทบัญญัติของศาสนาบอกว่า ผู้พบเห็นจะสามารถเก็บไว้เป็นของตนเองได้ก็ต่อเมื่อ เขาได้ประกาศกลางตลาด 3 ครั้งในเวลาที่ต่างกันว่า เขาได้พบสิ่งนั้นและไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าของแล้วเท่านั้น นัสรุดดินเป็นคนเคร่งศาสนา ไม่อยากได้ชื่อว่าละเมิดกฎเกณฑ์ของศาสนา แต่เขามีความละโมบเกินกว่าที่จะปล่อยให้แหวนเพชรล้ำค่านั้นหลุดมือไป

นัสรุดดินได้ย่องไปที่ตลาดในเวลากลางคืนที่ไม่มีใครเห็นและประกาศเบาๆ ว่า “ดูนี่ ฉันได้พบแหวนเพชรบนถนน ใครที่รู้ตัวว่าเป็นเจ้าของกรุณาติดต่อฉันด่วน” ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพรำของเขา เว้นแต่ชายคนหนึ่งที่บังเอิญยืนอยู่ที่หน้าต่างบ้านของตนในคืนที่สาม เขารีบไปหานัสรุดดินเพื่อถามว่ามาทำอะไรและพูดอะไรกลางตลาดยามค่ำคืนเช่นนี้ นัสรุดดินตอบว่า “ฉันไม่มีหน้าที่ที่จะต้องบอกคุณ สิ่งที่ฉันบอกได้คือฉันเป็นคนเคร่งศาสนา ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามบทบัญญัติของศาสนา” จากนั้นเขาได้เอาแหวนเพชรวงนั้นใส่กระเป๋าและเดินจากไป

บทบัญญัติ ระเบียบ กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่สิ่งที่สมบูรณ์ครบครัน เป็นเพียงวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคหากมิได้รับใช้เป้าหมายตามที่ได้วางไว้ บ่อยครั้งการถือตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดได้กลายเป็นความผิดหลง นอกจากไม่ได้ช่วยใครให้ได้พบกับพระเจ้า ยังเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นมิให้คนที่ปฏิบัติได้พบกับพระเจ้าด้วย

1.           แก่นแท้ของบทบัญญัติ

ในศาสนายิวมี “บทบัญญัติที่จารึกไว้” (Written Law) ได้แก่ หนังสือห้าเล่มแรก (Torah) ที่เรียกว่า “บทบัญญัติของโมเสส” กับ “บทบัญญัติที่เล่าสืบต่อกันมา” (Oral Law) ได้แก่ สิ่งที่พวกธรรมาจารย์เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อขยายความบทบัญญัติของโมเสส โดยมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนายิวและธรรมบัญญัติของพระเจ้า ในสมัยของพระเยซูเจ้าบทบัญญัตินี้เป็นที่รับรู้และเรียกว่า “ธรรมเนียมของบรรพบุรุษ”

ในพระวรสารตอนแรก พระยซูเจ้าทรงประณามพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี เพราะธรรมเนียมเหล่านี้ (การล้างมือตามพิธีก่อนรับประทานอาหาร) ที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ถือตาม “ท่านทั้งหลายละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า (จงรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์) และกลับไปถือธรรมเนียมของมนุษย์” ในตอนที่สอง พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงกฎเกี่ยวกับอาหารของศาสนายิว การรับประทานอาหารบางชนิด (เนื้อสุกร) ซึ่งทำให้มนุษย์เป็นมลทินและไม่สมควรที่จะเข้าร่วมพิธีกรรม

ในพระศาสนจักรยุคแรก คริสตชนที่มีต้นกำเนิดมาจากศาสนายิวพยายามที่จะบังคับใช้กฎเหล่านี้กับคริสตชนที่มาจากพื้นเพอื่น นักบุญมาระโกไม่เห็นด้วยและอ้างถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า เฉพาะสิ่งที่ออกมาจากใจมนุษย์ (คำหยาบคายและการกระทำที่ชั่วร้าย) ที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน พระองค์ได้ตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีอย่างรุนแรงด้วยการอ้างถ้อยคำของประกาศอิสยาห์ “ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา” พระองค์ทรงต้องการให้การกระทำของเราสอดคล้องกับคำพูดของเรา

พระเยซูเจ้าได้สอนชาวยิวว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอก แต่สิ่งที่ออกมาจากใจต่างหาก สิ่งต่างๆ ในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งที่เป็นมลทินหรือไม่เป็นมลทิน เพราะทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมาล้วนแต่ดีทั้งนั้น แต่เป็นมนุษย์ที่ทำให้เป็นมลทิน การกระทำของแต่ละคนบ่งบอกเจตนาและความต้องการของเขา บทบัญญัติต่างๆ จะต้องนำมนุษย์ไปหาพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง นี่คือแก่นแท้และหัวใจของบทบัญญัติ

2.           บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก เราต้องปฏิบัติตามและรักษาจิตตารมย์ของบทบัญญัติ ไม่ปฏิบัติตามตัวอักษรเพื่อสนองความต้องการหรือผลประโยชน์ของเรา บทบัญญัติจะต้องช่วยเราให้รักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมากขึ้น เช่นการมาวัดวันอาทิตย์ เพื่อนมัสการพระเจ้าพร้อมกับหมู่คณะ มอบชีวิตและความต้องการของเราแด่พระองค์ ขอสมาโทษพระองค์สำหรับบาปที่เรากระทำ ขอบคุณพระองค์สำหรับพระพรต่างๆ และรับพระองค์ในศีลมหาสนิทเพื่อเป็นพลังสำหรับเราในการรักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องในชีวิตประจำวัน

ประการที่สอง เราต้องแสวงหาพระประสงค์ของเจ้าและแสดงออกในการกระทำ พระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตของเรา และต้องแสดงออกในการกระทำ ในการรักพระเจ้าในบุคคลที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ชีวิตของเราจะต้องแสวงหาและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ประการที่สาม เราต้องต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีมลทินเกิดจากใจของมนุษย์ ใจของเราเป็นบ่อเกิดของความชั่วช้าและการกระทำที่ผิด อาทิ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกียจชัง เราจึงต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยการคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องทางศีลอภัยบาปทุกครั้งที่เราทำบาป

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า มิใช่การถือปฏิบัติตามบทบัญญัติ ธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีกรรมภายนอกที่สำคัญ แต่เป็นความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องต่างหาก ที่เป็นแก่นแท้และหัวใจของทุกสิ่ง ที่จะช่วยให้การปฏิบัติศาสนาในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งมีคุณค่าและความหมาย ความรักในใจของเราต้องเป็นแรงจูงใจเราในการทำสิ่งต่างๆ เพราะถ้าไม่มีความรัก ทุกสิ่งที่เราทำก็ไม่มีค่าใดๆ (เทียบ 1 คร 13:2)

การปฏิบัติศาสนาของเราจะต้องไม่ใช่ภาวะบีบคั้นที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่พิธีกรรม ระเบียบ กฎเกณฑ์และบทบัญญัติทางศาสนาต้องช่วยเพิ่มพูนความรักในใจเรา ทั้งต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนพี่น้องในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นต้น ในครอบครัว หมูคณะและหมู่บ้านของเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
31 สิงหาคม 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น