ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน
วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 21
เทศกาลธรรมดา
ปี B
|
ยชว 24:1-2, 15-18
อฟ 5:21-32
ยน 6:60-69
|
บทนำ
ในห้วงเวลาที่มีการเบียดเบียนคริสตศานาครั้งใหญ่ในประเทศรัสเซีย
คริสตชนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันภาวนาอย่างลับๆ ในบ้านหนังหนึ่ง ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งได้พังประตูห้องเข้ามา
พร้อมกับเล็งปืนไปยังทุกคนในห้อง พวกเขาตกใจและกลัวมาก นายทหารคนนั้นพูดว่า “ใครที่ไม่มีความเชื่อแท้ในพระเยซูเจ้า
นี่เป็นโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอด” หลายคนได้วิ่งกรูกันไปที่ประตูหนีเอาตัวรอด
เหลืออยู่ในห้องเพียงไม่กี่คน ที่ยังคงยืนหยัดว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูเจ้าและไม่ทิ้งพระองค์ไปไหน
เมื่อคนที่ขลาดกลัวหนีไปหมดแล้ว
ทหารคนนั้นได้ปิดประตูและก้าวมายืนกลางห้องต่อหน้ากลุ่มคนที่เหลืออยู่อีกครั้ง
เขาลดปืนลงและยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร และกล่าวกับทุกคนว่า
พวกท่านเป็นคริสตชนที่มีความเชื่อแท้ในพระเยซูเจ้า ต่างจากพวกนั้นที่หนีเอาตัวรอด
ก่อนจะจากไปเขาได้กล่าวกับกลุ่มคนที่เหลือว่า “ขอให้มั่นคงเข้มแข็งในความเชื่อ
ผมเองก็เป็นคริสตชนคนหนึ่งที่เชื่อในพระเยซูเจ้าเหมือนกับท่านทั้งหลาย”
บทอ่านในวันนี้
พูดถึงเรื่องราวในชีวิตคริสตชนที่จะต้องเลือกพระเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์
เลือกที่จะเจริญชีวิตตามความจริงหรือปฏิเสธความจริง พระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์ในพันธสัญญาเก่าผ่านทางประกาศกของพระองค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ในพันธสัญญาใหม่
ที่เตือนใจเราถึงการเลือกพื้นฐานที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกในชีวิตของเรา
ทั้งโยชูอาในบทอ่านแรกและนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สอง ต่างท้าทายประชาชนให้เลือก และพระวรสารวันนี้เราถูกท้าทายว่าเราจะเลือกรับใช้ใคร
1.
ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน
พระวรสารวันนี้เป็นตอนสรุปของ “คำเทศนาเรื่องปังแห่งชีวิต” ของพระเยซูเจ้าที่เราได้ฟังติดต่อกันมาหลายอาทิตย์ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากพระดำรัสที่ว่า
“ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็คงอยู่ในเราและเราอยู่ในเขา” ทำให้บรรดาอัครสาวกบ่นว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหู
ใครจะฟังได้” พวกเขาคิดว่าพระองค์เป็นพวกป่าเถื่อนกินเนื้อมนุษย์ พวกเขาไม่เข้าใจถ้อยคำและภาษาภาพพจน์ที่พระองค์หมายถึง
“ศีลมหาสนิท” และพระองค์ได้ใช้โอกาสนี้ท้าทายพวกเขาให้เปิดตนเองต่อพระพรแห่งความเชื่อที่พระเจ้าทรงประทานให้
พระเยซูเจ้าพยายามที่จะช่วยผู้ติดตามพระองค์
ให้มองทุกอย่างในมิติของความเชื่อ อาศัยความเชื่อเท่านั้นจะช่วยให้พวกเขามองเห็นและเข้าใจถึง
ธรรมล้ำลึกสามประการที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ นั่นคือ 1) การรับเอากายเป็นมนุษย์ “เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์”
(ยน 6:41),
2) การไถ่กู้ให้รอด
“ปังที่เราจะให้นี้คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”
(ยน 6:51) และ 3) การเสด็จสู่สวรรค์และรับเกียรติรุ่งโรจน์
“ท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่เคยอยู่แต่ก่อน” (ยน 6:62)
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นศิษย์หลายคนถอดใจและถอยหนีจากพระองค์
จึงตรัสกับบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสองว่า “ท่านทั้งหลายอยากจะไปด้วยหรือ”
ทุกวันนี้มีผู้คนมากมายที่หันหลังให้พระเยซูเจ้า ด้วยเหตุผลต่างๆ
มากมายแตกต่างกันไป เช่น ต้องทำงานหาเงินไม่มีเวลามาวัด ต้องเดินทางไปโน่นมานี่ ขี้เกียจไม่อยากทำอะไร
ต้องการอยู่สบายๆ และทำสิ่งที่ตนพึงพอใจ เป็นต้น พระเยซูเจ้าไม่เคยบังคับใคร สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือความเชื่อและความวางใจในพระองค์
ความเชื่อจึงเป็นของประทานจากพระเจ้า ที่ยกจิตใจและวิญญาณของเราให้ให้สูงกว่าวัตถุและสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้
เป็นคุณธรรมเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือเหตุผลและความเข้าใจของมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่ง
ความเชื่อเรียกร้องความร่วมมือของมนุษย์ด้วยการเลือกพื้นฐาน เลือกที่จะเชื่อพระเยซูเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์
และตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้มีชาย-หญิงมากมายที่เชื่อพระเยซูเจ้า
และเลือกที่จะเป็นพยานถึงความเชื่อที่ตนเองได้รับด้วยชีวิตของตน
เราจึงมีนักบุญมรณสักขีมากมายในพระศาสนจักร
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ
ประการแรก
เราต้องเชื่อในพระเยซูเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์
เราได้รับความเชื่อนี้ตั้งแต่วันที่เรารับศีลล้างบาป
เราต้องทำให้ความเชื่อนี้เติบโตในชีวิตของเรา ผ่านทางการภาวนาและการรับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
เพื่อเราจะมีได้รับพลังและความเข้มแข็งในการเอาชนะความอ่อนแอในตัวเรา และกระแสของโลกปัจจุบันที่ท้าทายเรา
ประการที่สอง เราต้องเลือกพระเยซูเจ้าและหนทางขององค์อย่างสิ้นเชิง
เราต้องเลือกพระเยซูเจ้าเป็นลำดับแรกและหนทางของพระองค์คือไม้กางเขน
โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ หรือสงวนสิ่งใดไว้สำหรับตนเอง ความคิด ทัศนคติ
คุณค่าและมุมมองชีวิตของพระเยซูเจ้า จะต้องกลายเป็นของเราและนำทางชีวิตเราทั้งครบ สิ่งนี้เองจะทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความไม่เข้าใจ
การวิพากษ์วิจารณ์ การดูหมิ่นหรือความยากลำบากใดๆ ในชีวิต
ประการที่สาม เราต้องเชื่อในพระวาจาทรงชีวิต เราจะต้องกล่าวเหมือนนักบุญเปโตรว่า
“พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์ทรงมีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร” หากเราพยายามที่จะดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระองค์ทุกวัน
เราก็จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์และพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเราและต้องการความช่วยเหลือจากเรา
บทสรุป
พี่น้องที่รัก ความเชื่อในพระเยซูเจ้า
ทำให้เราเลือกที่จะติดตามพระองค์ และสามารถกล่าวอย่างมั่นใจว่า
§ พระคริสตเจ้าเป็นแสงสว่างของเรา
การออกห่างจากพระองค์ทำให้เราเดินในความมืด
§ พระคริสตเจ้าเป็นชีวิตของเรา ปราศจากพระองค์นำเราไปสู่ความตาย
§ พระคริสเจ้าเป็นความเข้มแข็งของเรา
ปราศจากพระองค์ทำให้เราอ่อนแอ
§ พระคริสตเจ้าเป็นความรักของเรา
ปราศจากพระองค์ทำให้เราตกอยู่ในวังวนของความเกลียดชัง
ให้เรามาหาพระเยซูเจ้า
ผู้เป็นแสงสว่าง ชีวิต ความเข้มแข็งและความรักของเรา
เพื่อเราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ ให้เราได้ตอบคำถามของพระองค์ด้วยตัวของเราเองว่า
“ข้าพระองค์จะไปหาใครเล่า ในเมื่อพระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร” ขออย่าให้พระองค์ได้ตรัสดังนี้กับเราว่า:
§ ท่านเรียกเราว่าอาจารย์
แต่หาได้เชื่อฟังเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นแสงสว่าง
แต่หาได้เห็นเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นหนทาง
แต่หาได้เดินตามเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นชีวิต
แต่หาได้ต้องการเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นผู้รอบรู้
แต่หาได้ติดตามเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นความยุติธรรม แต่หาได้รักเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นผู้ร่ำรวย แต่หาได้ขออะไรเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นองค์แห่งนิรันดร์ แต่หาได้แสวงหาเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นผู้เมตตา แต่หาได้ไว้ใจเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นผู้สูงส่ง แต่หาได้รับใช้เราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นผู้ทรงอำนาจ แต่หาได้ให้เกียรติเราไม่
§ ท่านเรียกเราเป็นความเที่ยงธรรม แต่หาได้เกรงกลัวเราไม่
§
หากเราลงโทษท่าน
ก็อย่าได้ตำหนิเราเลย
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
24 สิงหาคม 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น