วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน


ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 21
เทศกาลธรรมดา
ปี B
ยชว 24:1-2, 15-18
อฟ 5:21-32
ยน 6:60-69

บทนำ

 ในห้วงเวลาที่มีการเบียดเบียนคริสตศานาครั้งใหญ่ในประเทศรัสเซีย คริสตชนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันภาวนาอย่างลับๆ ในบ้านหนังหนึ่ง ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งได้พังประตูห้องเข้ามา พร้อมกับเล็งปืนไปยังทุกคนในห้อง พวกเขาตกใจและกลัวมาก นายทหารคนนั้นพูดว่า “ใครที่ไม่มีความเชื่อแท้ในพระเยซูเจ้า นี่เป็นโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอด” หลายคนได้วิ่งกรูกันไปที่ประตูหนีเอาตัวรอด เหลืออยู่ในห้องเพียงไม่กี่คน ที่ยังคงยืนหยัดว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูเจ้าและไม่ทิ้งพระองค์ไปไหน

เมื่อคนที่ขลาดกลัวหนีไปหมดแล้ว ทหารคนนั้นได้ปิดประตูและก้าวมายืนกลางห้องต่อหน้ากลุ่มคนที่เหลืออยู่อีกครั้ง เขาลดปืนลงและยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร และกล่าวกับทุกคนว่า พวกท่านเป็นคริสตชนที่มีความเชื่อแท้ในพระเยซูเจ้า ต่างจากพวกนั้นที่หนีเอาตัวรอด ก่อนจะจากไปเขาได้กล่าวกับกลุ่มคนที่เหลือว่า “ขอให้มั่นคงเข้มแข็งในความเชื่อ ผมเองก็เป็นคริสตชนคนหนึ่งที่เชื่อในพระเยซูเจ้าเหมือนกับท่านทั้งหลาย”

บทอ่านในวันนี้ พูดถึงเรื่องราวในชีวิตคริสตชนที่จะต้องเลือกพระเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ เลือกที่จะเจริญชีวิตตามความจริงหรือปฏิเสธความจริง พระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์ในพันธสัญญาเก่าผ่านทางประกาศกของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ในพันธสัญญาใหม่ ที่เตือนใจเราถึงการเลือกพื้นฐานที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกในชีวิตของเรา ทั้งโยชูอาในบทอ่านแรกและนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สอง ต่างท้าทายประชาชนให้เลือก และพระวรสารวันนี้เราถูกท้าทายว่าเราจะเลือกรับใช้ใคร

1.           ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน

พระวรสารวันนี้เป็นตอนสรุปของ “คำเทศนาเรื่องปังแห่งชีวิต” ของพระเยซูเจ้าที่เราได้ฟังติดต่อกันมาหลายอาทิตย์ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากพระดำรัสที่ว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็คงอยู่ในเราและเราอยู่ในเขา”  ทำให้บรรดาอัครสาวกบ่นว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหู ใครจะฟังได้” พวกเขาคิดว่าพระองค์เป็นพวกป่าเถื่อนกินเนื้อมนุษย์ พวกเขาไม่เข้าใจถ้อยคำและภาษาภาพพจน์ที่พระองค์หมายถึง “ศีลมหาสนิท และพระองค์ได้ใช้โอกาสนี้ท้าทายพวกเขาให้เปิดตนเองต่อพระพรแห่งความเชื่อที่พระเจ้าทรงประทานให้

พระเยซูเจ้าพยายามที่จะช่วยผู้ติดตามพระองค์ ให้มองทุกอย่างในมิติของความเชื่อ อาศัยความเชื่อเท่านั้นจะช่วยให้พวกเขามองเห็นและเข้าใจถึง ธรรมล้ำลึกสามประการที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ นั่นคือ 1) การรับเอากายเป็นมนุษย์ “เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์” (ยน 6:41), 2) การไถ่กู้ให้รอด “ปังที่เราจะให้นี้คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” (ยน 6:51) และ 3) การเสด็จสู่สวรรค์และรับเกียรติรุ่งโรจน์ “ท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่เคยอยู่แต่ก่อน” (ยน 6:62)

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นศิษย์หลายคนถอดใจและถอยหนีจากพระองค์ จึงตรัสกับบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสองว่า “ท่านทั้งหลายอยากจะไปด้วยหรือ” ทุกวันนี้มีผู้คนมากมายที่หันหลังให้พระเยซูเจ้า ด้วยเหตุผลต่างๆ มากมายแตกต่างกันไป เช่น ต้องทำงานหาเงินไม่มีเวลามาวัด ต้องเดินทางไปโน่นมานี่ ขี้เกียจไม่อยากทำอะไร ต้องการอยู่สบายๆ และทำสิ่งที่ตนพึงพอใจ เป็นต้น พระเยซูเจ้าไม่เคยบังคับใคร สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือความเชื่อและความวางใจในพระองค์

ความเชื่อจึงเป็นของประทานจากพระเจ้า ที่ยกจิตใจและวิญญาณของเราให้ให้สูงกว่าวัตถุและสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ เป็นคุณธรรมเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือเหตุผลและความเข้าใจของมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อเรียกร้องความร่วมมือของมนุษย์ด้วยการเลือกพื้นฐาน เลือกที่จะเชื่อพระเยซูเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ และตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้มีชาย-หญิงมากมายที่เชื่อพระเยซูเจ้า และเลือกที่จะเป็นพยานถึงความเชื่อที่ตนเองได้รับด้วยชีวิตของตน เราจึงมีนักบุญมรณสักขีมากมายในพระศาสนจักร

2.           บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก เราต้องเชื่อในพระเยซูเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์ เราได้รับความเชื่อนี้ตั้งแต่วันที่เรารับศีลล้างบาป เราต้องทำให้ความเชื่อนี้เติบโตในชีวิตของเรา ผ่านทางการภาวนาและการรับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท เพื่อเราจะมีได้รับพลังและความเข้มแข็งในการเอาชนะความอ่อนแอในตัวเรา และกระแสของโลกปัจจุบันที่ท้าทายเรา

ประการที่สอง เราต้องเลือกพระเยซูเจ้าและหนทางขององค์อย่างสิ้นเชิง เราต้องเลือกพระเยซูเจ้าเป็นลำดับแรกและหนทางของพระองค์คือไม้กางเขน โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ หรือสงวนสิ่งใดไว้สำหรับตนเอง ความคิด ทัศนคติ คุณค่าและมุมมองชีวิตของพระเยซูเจ้า จะต้องกลายเป็นของเราและนำทางชีวิตเราทั้งครบ สิ่งนี้เองจะทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความไม่เข้าใจ การวิพากษ์วิจารณ์ การดูหมิ่นหรือความยากลำบากใดๆ ในชีวิต

ประการที่สาม เราต้องเชื่อในพระวาจาทรงชีวิต เราจะต้องกล่าวเหมือนนักบุญเปโตรว่า “พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์ทรงมีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร” หากเราพยายามที่จะดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระองค์ทุกวัน เราก็จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์และพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเราและต้องการความช่วยเหลือจากเรา

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ความเชื่อในพระเยซูเจ้า ทำให้เราเลือกที่จะติดตามพระองค์ และสามารถกล่าวอย่างมั่นใจว่า

§  พระคริสตเจ้าเป็นแสงสว่างของเรา การออกห่างจากพระองค์ทำให้เราเดินในความมืด
§  พระคริสตเจ้าเป็นชีวิตของเรา ปราศจากพระองค์นำเราไปสู่ความตาย
§  พระคริสเจ้าเป็นความเข้มแข็งของเรา ปราศจากพระองค์ทำให้เราอ่อนแอ
§  พระคริสตเจ้าเป็นความรักของเรา ปราศจากพระองค์ทำให้เราตกอยู่ในวังวนของความเกลียดชัง

ให้เรามาหาพระเยซูเจ้า ผู้เป็นแสงสว่าง ชีวิต ความเข้มแข็งและความรักของเรา เพื่อเราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ ให้เราได้ตอบคำถามของพระองค์ด้วยตัวของเราเองว่า “ข้าพระองค์จะไปหาใครเล่า ในเมื่อพระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร”  ขออย่าให้พระองค์ได้ตรัสดังนี้กับเราว่า:

§    ท่านเรียกเราว่าอาจารย์ แต่หาได้เชื่อฟังเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นแสงสว่าง แต่หาได้เห็นเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นหนทาง แต่หาได้เดินตามเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นชีวิต แต่หาได้ต้องการเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้รอบรู้ แต่หาได้ติดตามเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นความยุติธรรม แต่หาได้รักเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้ร่ำรวย แต่หาได้ขออะไรเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นองค์แห่งนิรันดร์ แต่หาได้แสวงหาเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้เมตตา แต่หาได้ไว้ใจเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้สูงส่ง แต่หาได้รับใช้เราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้ทรงอำนาจ แต่หาได้ให้เกียรติเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นความเที่ยงธรรม แต่หาได้เกรงกลัวเราไม่
§    หากเราลงโทษท่าน ก็อย่าได้ตำหนิเราเลย

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
24 สิงหาคม 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น