วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จงหายเถิด


จงหายเถิด

สัปดาห์ที่ 6
เทศกาลธรรมดา
ปี B
ลนต 13:1-2, 45-46
1 คร 10:23-11:1
มก 1:40-45

บทนำ

มาร์ตินเป็นนายทหารหนุ่มในกองทัพโรมัน วันหนึ่งขณะที่กำลังขี่ม้าไปตามถนนในเครื่องแบบทหารที่สง่าผ่าเผย คนโรคเรื้อนคนหนึ่งได้เรียกเขาเพื่อขอเศษเงิน กลิ่นเน่าเหม็นจากบาดแผลของชายโรคเรื้อนนั้น ทำให้มาร์ตินรู้สึกสะอิดสะเอียนและกำลังจะขวบม้าหนีไปตามสัญชาตญาณ แต่มีบางสิ่งจากภายในทำให้เขาหยุดและเดินตรงไปที่ชายขอทานนั้น สิ่งที่มาร์ตินมีคือชุดคลุมของทหาร เขาได้ตัดชุดคลุมนั้นเป็นสองส่วน ให้ส่วนหนึ่งแก่คนโรคเรื้อนและคลุมตัวด้วยส่วนที่เหลือ

วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวมาก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์วันนั้นคิดว่าช่างเป็นการกระทำที่น่าขันและหัวเราะเยาะเขา แต่บางคนมองว่าพวกเขาได้เห็นแบบอย่างของการเป็นคริสตชนที่ดีของนายทหารหนุ่มโรมัน คืนนั้นมาร์ตินฝันว่าเขาเห็นพระเยซูเจ้าใส่ชุดคลุมครึ่งส่วนนั้น และตรัสกับบรรดาทูตสวรรค์ที่รายล้อมบัลลังก์ของพระองค์ว่า “มาร์ตินได้คลุมตัวของเราด้วยชุดคลุมของเขา” เหตุการณ์วันนั้นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของนายทหารหนุ่มคนนั้น ผู้ซึ่งกลายมาเป็นนักบุญมาร์ตินแห่งตูร์

ท่าทีของมาร์ตินในตอนแรกคือสิ่งที่ผู้คนทั่วไปแสดงออก เนื่องจากโรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงที่สุดเวลานั้น ที่สามารถติดต่อและทำลายบุคคลนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและศาสนา:  

ด้านร่างกาย โรคเรื้อนสามารถกัดกินส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ตา หู จมูกที่ละเล็กละน้อย จนทำให้คนนั้นเป็นเหมือนกับท่อนเนื้อที่เคลื่อนที่ได้

ด้านสังคม คนโรคเรื้อนจะถูกตัดขาดจากสังคม ถูกกักบริเวณให้อยู่ในพื้นที่เฉพาะ เช่น ถ้ำหรือหุบเขา ไม่สามรถติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงได้

ด้านศาสนา โรคเรื้อนเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าคนนั้นเป็นคนบาป เชื่อกันว่านี่คือการลงโทษอันเนื่องมาจากบาปหนักที่เขาได้กระทำ การเป็นคนที่ไม่บริสุทธิ์ ทำให้เขาไม่สามารถร่วมพิธีทางศาสนาในที่สาธารณะได้ เขาต้องคลุมตัวปิดหน้าและร้องว่า “มีมลทิน มีมลทิน” ขณะที่เดินไปตามถนน

1.  จงหายเถิด

พระวรสารวันนี้ได้ให้ภาพที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ชาวยิวเชื่อและปฏิบัติต่อคนโรคเรื้อน “โรคเรื้อนเป็นการลงโทษของพระเจ้าไหม” หากการปฏิบัติต่อคนโรคเรื้อนตามที่หนังสือเลวีนิติบรรยายเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมและส่งมา คงไม่รักษาชายโรคเรื้อนคนนั้น ในอีกด้านหนึ่ง โรคเรื้อนเป็นโรคชนิดหนึ่งเหมือนโรคอื่นทั้งหลายที่พระเยซูเจ้าสามารถรักษาให้หายได้

ชายโรคเรื้อนนั้นต้องการพิสูจน์ความจริงนี้ เขาจึงละเมิดกฎของโมเสสที่บอกให้เขาอยู่ห่างจากผู้คน เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าและคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมสามารถรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัย ยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขาและตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิดนี่คือข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า โรคเรื้อนมิใช่การลงโทษของพระเจ้า

พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีโรคชนิดไหนที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ที่เขาจะต้องถูกตัดขาดไม่ให้ร่วมพิธีทางศาสนา พระองค์ทรงปลอบใจคนโรคเรื้อนด้วยการสัมผัสเขา ตามกฎของโมเสส ใครที่สัมผัสคนโรคเรื้อนจะต้องเป็นมลทินจนถึงเย็น พระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าความรักและพระเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ยิ่งใหญ่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ และมีต่อมนุษย์ทุกคนโดยไม่ยกเว้น พระองค์เสด็จมาเพื่อตามหาแกะที่ผลัดฝูง ทรงกางพระหัตถ์ต้อนรับทุกคนด้วยความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์

2.  บทเรียนสำหรับเรา

บทอ่านวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวทางในการปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันสำหรับเราหลายประการ

ประการแรก เราต้องเปิดกว้างและเห็นคุณค่าของมนุษย์ทุกคน พระเยซูเจ้าทรงสอนเราและผู้ติดตามพระองค์ให้สวมกอดและเห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาของเรา คนที่ถูกทอดทิ้งหรือสังคมรังเกียจ เช่น ผู้ติดเชื่อ HIV ผู้ป่วยโรคเอดส์ ทุกคนคือลูกของพระ ที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ เยียวยารักษาและช่วยเหลือเท่าเสมอกัน

ประการที่สอง เราต้องมีใจเมตตากรุณาและพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคน  พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัย ด้วยการยื่นมือสัมผัสและรักษาคนโรคเรื้อน พระองค์ไม่ได้รักษาด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ด้วยการกระทำ เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างในการช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ไม่มีใครที่ถูกแบ่งแยกหรือตัดขาดจากหมู่คณะ พระองค์ต้องการเราเป็นเครื่องมือในการสัมผัส เปลี่ยนแปลงและนำทุกคนให้หันมาหาพระเจ้า

 ประการที่สาม เราต้องภาวนาด้วยใจสุภาพและหันมาหาพระเยซูเจ้าเพื่อขอพระองค์ช่วยเรา คนโรคเรื้อนมีท่าทีที่สุภาพ เข้ามาเฝ้าและคุกเข่าลงอ้อนวอนพระเยซูเจ้า เราต้องมีท่าทีเช่นเดียวกัน เพื่อขอให้พระองค์รักษาโรคเรื้อนฝ่ายวิญญาณที่แปดเปื้อนด้วยบาปของเราให้สะอาด ให้เราได้เลียนแบบนักบุญเปาโลด้วยการยึดเอาพระคริสตเจ้าเป็นแบบอย่าง มองทุกอย่างในแง่ดีและทำทุกอย่างเพื่อพระเกียรติมงคลของพระองค์ “เมื่อท่านจะกินจะดื่มหรือทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด” (1 คร 10:31)

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อนและนำเขากลับมาสู่หมู่คณะอีกครั้ง ด้วยการยื่นมือไปสัมผัสและรักษาเขา การกระทำของพระองค์ทำให้เราตระหนักว่า พระเมตตากรุณาและความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ โดยเฉพาะคนที่ถูกทอดทิ้งและสังคมรังเกียจ ทรงกางพระหัตถ์ต้อนรับพวกเขาและแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก


ปัจจุบันโรคที่กำลังแพร่ละบาดไม่ใช่โรคเรื้อน แต่เป็นโรคแห่งความเกียดชังและการแบ่งแยกแตกต่าง แบ่งสี เลือกข้าง เราได้รับการเรียกให้มาเจริญชีวิตความเชื่อในหมู่คณะ เป็นเครื่องหมายแห่งพระทัยเมตตากรุณาและความรักของพระเจ้า จะต้องไม่มีใครถูกตัดขาดจากหมู่คณะหรือถูกทอดทิ้งโดยที่เราไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลือ พระเจ้าทรงประทับท่ามกลางเราและทรงประสงค์ให้เราแต่ละคนกระทำพันธกิจของพระองค์ในการสัมผัส เปลี่ยนแปลงและนำทุกคนให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระองค์

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
10 กุมภาพันธ์ 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น