วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

การเรียกและการตอบสนอง


การเรียกและการตอบสนอง

สัปดาห์ที่ 2
เทศกาลธรรมดา
ปี B
1 ซมอ 3:3-10,19
1 คร 6:13-15, 17-20
ยน 1:35-42

บทนำ

ชายคนหนึ่งไปตัดผมที่ร้านแห่งหนึ่ง เมื่อช่างตัดผมเริ่มตัดผม ทั้งคู่สนทนากันอย่างถูกคอ เรื่องที่พูดคุยกันมีด้วยกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องศาสนาด้วย เมื่อรู้ว่าลูกค้าของเขาคนนี้เป็นคริสตชน เขาได้พูดขึ้นว่า “ผมไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า” “ทำไมคุณถึงพูดเช่นนั้น” ชายคนนั้นถาม “คุณลองออกไปในถนนสิ คุณจะรู้ว่าไม่มีพระเจ้าจริงๆ หากพระเจ้ามีจริง ช่วยบอกผมหน่อย ทำไมถึงมีความทุกข์ยากลำบาก มีคนเจ็บป่วย และเด็กเร่ร่อนที่ถูกทอดทิ้งมากมาย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้า องค์แห่งความรักถึงปล่อยให้มีสิ่งเลวร้ายเหล่านี้” ช่างตัดผมย้ำ

ชายคนนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่โต้ตอบอะไร เนื่องจากไม่ต้องการทำลายบรรยากาศของการสนทนา กระทั่งตัดผมเสร็จและเดินออกจากร้าน เขาเห็นชายคนหนึ่งผมเผ้ารุงรัง สกปรก หนวดเครายาวน่าเกลียด เขาจึงเดินกลับเข้ามาในร้านตัดผมอีกครั้งและพูดกับช่างตัดผมว่า “คุณรู้ไหมว่าช่างตัดผมไม่มีอยู่จริงหรอก” “ทำไมพูดอย่างนั้นละ” ช่างตัดผมถามด้วยความประหลาดใจ ผมนี่ไง ผมเป็นช่างตัดผมและเพิ่งตัดผมให้คุณไปหยกๆ” ช่างตัดผมยืนยัน

“ไม่จริง” ชายคนนั้นย้ำว่า “หากช่างตัดผมมีอยู่จริง คงไม่มีคนผมเผ้ารุงรังสกปรกเหมือนชายคนที่คุณเห็น” “แต่ช่างตัดผมมีจริง สาเหตุที่ชายคนนั้นผมยาว หน้าตาดูไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมมาหาผม” ช่างตัดผมยืนยัน “จริงทีเดียว” ชายนั้นพูดบ้าง “การมีอยู่ของพระเจ้าเป็นเช่นเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เวลานี้เพราะไม่ยอมมาหาพระองค์ พวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ ดังนั้น โลกของเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์และความเลวร้ายต่างๆ”

การเป็นศิษย์และศาสนบริการเป็นส่วนสำคัญของฉากชีวิตคริสตชน เราแต่ละคนได้รับการเรียกให้มาเป็นศิษย์และมารับใช้ พระเยซูเจ้ายังคงกระทำภารกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ต่อไปในโลกสำหรับมนุษยชาติผ่านทางพระศาสนจักร ซึ่งไม่ได้หมายถึงศาสนบริกรที่ได้รับศีลบวชคือพระสงฆ์และนักบวชเท่านั้น แต่พระศาสนจักรหมายถึงเราทุกคน ความทุกข์ยากลำบากยังคงมีอยู่ในโลก เพราะคริสตชนแต่ละคนไม่ได้ดำเนินชีวิตเป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์ ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ดีของพระองค์ “กระแสเรียกของเราแต่ละคนคือการรับใช้คนอื่น” (ลีโอ ตอลสตอย)

1.  การเรียกและการตอบสนอง

บทอ่านวันนี้พูดถึงการเรียกของพระเจ้าและการตอบสนองการเรียก ในบทอ่านแรกพระเจ้าทรงเรียกซามูแอลให้เป็นประกาศกของพระองค์ และในพระวรสารพระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์กลุ่มแรกของพระองค์ ซามูแอลหลังจากได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้า ท่านได้ไปหาเอลีพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ” ในพระวรสาร ยอห์นบัปติสต์หลังจากเสร็จสิ้นพันธกิจของท่าน ได้ชี้ให้ศิษย์สองคนเห็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าท่านเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จผ่าน “นี่คือลูกแกะพระเจ้า”

พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ผ่านทางคนใดคนหนึ่งเพื่อเผยให้เห็นพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าต้องการให้เราเป็นเครื่องมือในการนำผู้อื่นมาหาพระองค์ เพื่อทำให้อาณาจักรของพระองค์ปรากฏเป็นจริง ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งความรัก สันติสุขและยุติธรรม ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตแสวงหาเสมอ บางคนแสวงหาเงินทองเพื่อตอบสนองความต้องการของตน บางคนแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตเพื่อจะได้มีความสุขสงบในบั้นปลาย บางคนแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียง เพื่อจะได้เป็นที่รู้จักและนับหน้าถือตา

ในพระวรสารศิษย์สองคนของยอห์นกำลังแสวงหาบางสิ่งบางอย่าง ยอห์นได้ชี้ให้พวกเขาเห็นองค์พระคริสต์เจ้าและเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ ทรงถามพวกเขา “ท่านแสวงหาอะไร” คำตอบคือ “รับบี” ซึ่งแปลว่าอาจารย์ “พระองค์พำนักอยู่ที่ไหน” และพระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “มาดูเถิด” (Come and see) ซึ่งได้ให้แบบอย่างของการเป็นศิษย์ที่แท้จริงแก่เราว่า เราต้องมาหาพระเยซูเจ้าก่อน พบและมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระองค์ จากนั้นจึงติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด

2.   บทเรียนสำหรับเรา

บทอ่านวันนี้ได้ให้บทเรียนและแนวทางในการปฏิบัติที่สำคัญกับเราหลายประการ

ประการแรก เราได้รับการเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า ทุกคนร่วมมีส่วนในภารกิจของพระเยซูเจ้าคือ เป็นแสงสว่างแก่มนุษย์ในท่ามกลางความมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการทำให้แสงสว่างแห่งความรัก ความเห็นอกเห็นใจและการให้อภัยของพระคริสตเจ้าฉายแสงในตัวเรา เพื่อคนอื่นที่เห็นกิจการดีในตัวเรา จะได้ชมสรรเสริญพระบิดาเจ้าของเรา

ประการที่สอง เราต้องตอบสนองด้วยการอุทิศตนรับใช้พระคริสตเจ้า การเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า คือการเรียกให้มาเลียนแบบและเดินตามแนวทางของพระองค์ ที่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ในการรัก รับใช้และมอบชีวิตเพื่อทุกคนโดยไม่แบ่งแยก เพื่อเราจะสามารถอุทิศตนในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้องได้อย่างเต็มที่ เราจะต้องเป็นอิสระในการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้ามากกว่าน้ำใจของเรา และพร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า

ประการที่สาม เราต้องนำผู้อื่นมาพบพระคริสตเจ้า ทุกวันนี้ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักข่าวดีแห่งความรอด การเป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้าแค่เล่าเรื่องราวของพระองค์ให้คนอื่นฟังเท่านั้นคงไม่เพียงพอ แต่จะต้องนำเขาให้มาพบและมีประสบการณ์โดยตรงกับพระองค์ เหมือนอันดรูว์ที่ชักนำซีโมน พี่ชายให้มารู้จักพระคริสตเจ้า นี่คือหน้าที่แห่งความรักที่เราไม่อาจปฏิเสธได้

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกเราให้มาเป็นคริสตชน เป็นศิษย์ติดตามของพระองค์ ให้ได้รับแสงสว่างและมีส่วนในพันธกิจของพระองค์ในโลก นั่นไม่ใช่เพราะเราดีกว่าคนอื่น แต่เพราะความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงรักเราและเรียกเราทุกวันให้ติดตามพระองค์ เราจะต้องไม่ลังเลในการติดตามและเลียนแบบอย่างของพระองค์

ให้เราได้สรรเสริญพระเจ้า “ผู้ทรงเรียกท่านจากความมืด สู่ความสว่างที่น่าพิศวงของพระองค์” (1 ปต 2:9) ให้เราได้รักษาความเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มคริสตชนของเรา และพยายามทุกวิถีทางในการขยายอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา ในความรักและการรับใช้ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตเป็นเครื่องมือที่มองเห็นได้ของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน ในครอบครัว ในที่ทำงาน และในที่ต่างๆ ที่เราอยู่ เช่นนี้เอง เราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน เป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
13 มกราคม 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น