ความสามารถที่ต้องใช้ประโยชน์
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
ปี A
|
สภษ
31:10-13.19-20.30-31
1 ธส 5:1-6
มธ 25:14-30
|
บทนำ
มีเรื่องเล่าว่า กษัตริย์องค์หนึ่งมีโอรส 3 องค์
แต่ละองค์มีความสามารถแตกต่างกัน องค์แรกมีความสามารถในการปลูกไม้ผล
องค์ที่สองมีความสามารถในการเลี้ยงแกะ และองค์สุดท้ายมีความสามารถในการเล่นไวโอลิน
วันหนึ่งกษัตริย์มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไปแดนไกล จึงมอบหมายให้โอรสทั้งสามดูแลประชาชนให้อยู่ดีมีสุขในระหว่างที่พระองค์ไม่อยู่
ในช่วงแรกทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
แต่ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อฤดูหนาวที่แสนโหดร้ายมาเยือนและกินเวลายาวนานกว่าทุกปี
ทำให้ประชาชนขาดแคลนฟืนที่จะใช้ในเตาผิงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่บ้านและสมาชิกในครอบครัว
โอรสองค์แรกมองเห็นความเดือดร้อนของประชาชน จึงอนุญาตให้พวกเขาตัดต้นไม้ผลในสวนหลวงเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิง
ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น พวกเขาเริ่มขาดแคลนอาหาร
โอรสองค์ที่สองจึงอนุญาตให้พวกเขาฆ่าแกะของพระองค์เป็นอาหารประทังความหิว
ประชาชนมีฟืนให้ความอบอุ่นและอาหารบรรเทาความหิวได้ก็จริง
แต่สภาพจิตใจเริ่มแย่ลง พวกเขาจึงไปหาโอรสองค์ที่สามให้บรรเลงดนตรี เพื่อช่วยผ่อนคลายสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของพวกเขาให้ดีขึ้น
แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่ใยดี พวกเขาจึงอพยพไปอยู่ที่อื่น เมื่อกษัตริย์กลับมาทรงเศร้าพระทัยที่เห็นประชาชนจำนวนมากในปกครองหนีไปอยู่ที่อื่น
จึงเรียกโอรสทั้งสามมาสอบถามความจริง
หลังทราบความจริงกษัตริย์ทรงชื่นชมในสิ่งที่โอรสองค์แรกและองค์ที่สองกระทำ
ส่วนโอรสองค์สุดท้ายให้เหตุผลที่ปฏิเสธการเล่นดนตรีให้ประชาชนฟังเพราะไม่มีกษัตริย์อยู่ร่วมฟังด้วย
กษัตริย์จึงรับสั่งให้เล่นดนตรีให้พระองค์ฟังเดี๋ยวนั้นเพราะทรงเศร้าพระทัยมาก
โอรสองค์สุดท้ายจึงหยิบไวโอลินขึ้นมา แต่อนิจจา นิ้วของพระองค์แข็งกระด้าง
ขยับเขยื้อนไม่ได้เพราะไม่ได้ฝึกเล่นเป็นเวลานาน กษัตริย์จึงตรัสว่า “ลูกควรเล่นดนตรีขับกล่อมประชาชนที่กำลังทุกข์โศกแต่กลับปฏิเสธ
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของลูก และตอนนี้ก็เล่นดนตรีไม่ได้อีก
นี่คือการลงโทษที่ลูกได้รับ”
พระวรสารวันนี้เตือนเราให้เฝ้าระวังตลอดเวลา
และทำให้เราทราบว่าเราจะต้องรักษาความเชื่อของเราและทำให้เกิดผล ทั้งในความคิด
วาจาและกิจการ พระเยซูเจ้าทรงเล่าคำอุปมาเรื่องเงินตะลันท์
เพื่อเน้นถึงคำสอนเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์
และเราแต่ละคนจะต้องถูกพิพากษาตามการกระทำของเราในการใช้ความสามารถและพระพรต่างๆ
ที่ได้รับจากพระเจ้า การเก็บซ่อนไว้คือการทำลายตนเอง แต่การใช้มันเพื่อบริการเพื่อนมนุษย์และปรนนิบัติพระเจ้า
ทำให้ชีวิตของเราพบความหมายที่แท้จริง
1.
ความสามารถที่ต้องใช้ประโยชน์
คำอุปมาได้แสดงให้เห็นถึงเงินจำนวนมากที่คนใช้สามคนได้รับจากนาย
เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ในระหว่างที่นายไม่อยู่ คนแรกได้รับ 5 ตะลันต์
คนที่สอง 2 ตะลันต์ และคนที่สามได้รับ 1 ตะลันต์ เงิน 1 ตะลันต์มีมูลค่าเทียบเป็นเงินไทยเท่ากับ
2 หมื่นบาท นายมอบเงินให้แต่ละคนในจำนวนที่แตกต่างกันตามความสามารถของเขา
สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกซึ่งเรามนุษย์มีความสามารถแตกต่างกัน
แต่ความสามารถและพระพรต่างๆ เป็นการได้รับมาเปล่าๆ
และมอบให้อยู่ในความดูแลของแต่ละคน
เมื่อนายกลับมาได้เรียกคนใช้ทั้งสามมาสอบถามว่าได้ใช้ประโยชน์จากเงินที่มอบให้อย่างไร
สองคนแรกได้ทำประโยชน์และได้กำไรอีกเท่าตัวจากเงินที่ได้รับ ซึ่งทำให้นายพึงพอใจมาก
ไม่ใช่ในจำนวนเงินที่เพิ่มมากขึ้น แต่ในวิธีการบริหารจัดการเงินจำนวนดังกล่าว เพราะพวกเขาได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อเงินที่ได้รับ
นายจึงไว้ใจและมอบหมายให้รับผิดชอบงานที่ใหญ่กว่า เราแต่ละคนอาจมีความสามารถและได้รับพระพรที่แตกต่างกัน
แต่เวลาที่เรามีเท่าเสมอกัน รวมถึงความมานะพยายามที่เราแต่ละคนมีเท่ากันได้
คนใช้คนที่สามที่ได้รับ
1 ตะลันต์กระทำในสิ่งที่ตรงข้าม เขานำเงินไปฝังดินไว้และคอยนายกลับมา เขาได้มอบเงินทั้งหมดคืนให้นายแบบไม่ขาดไม่เกิน
คนใช้คนนี้เข้าใจดีถึงสิ่งที่นายคาดหวังจากเขา แต่ไม่กล้าเสี่ยงเพราะกลัวจะสูญเสียเงินทั้งหมด
เงินที่นายให้จึงไม่ก่อประโยชน์อันใด
ซ้ำร้ายนายได้ริบเงินจำนวนดังกล่าวและมอบแก่คนที่ได้รับมากที่สุด
2.
บทเรียนสำหรับเรา
คำอุปมาในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการดำเนินชีวิตหลายประการ
ประการแรก พระพรที่ต่างกัน พระเจ้าทรงประทานพระพรแก่เราตามจำนวนที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคน
นายไม่ได้เรียกร้องสิ่งที่เกินความสามารถของคนใช้ เราเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่ไม่เหมือนกัน
บททดสอบสำหรับเราคือได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างไรบ้าง ดังนั้น หน้าที่หลักของเราจึงมิใช่การอิจฉาหรือเปรียบเทียบความสามารถของเรากับผู้อื่น
แต่อยู่ที่การใช้ความสามารถและพระพรที่ได้รับอย่างดีที่สุด เมื่อแต่ละคนต่างรับผิดชอบและทำส่วนของตนให้ดีที่สุด
หมู่คณะก็ได้ประโยชน์
ประการที่สอง คนที่ไม่พยายามย่อมได้รับโทษ คนใช้คนที่สามถูกประณามเพราะไม่พยายาม เขาคิดว่าอาจไม่คุ้มค่าเนื่องจากมีอยู่เพียงตะลันต์เดียว
ทำให้เขากลัวและไม่กล้าเสี่ยง ในความเป็นจริง โลกของเราไม่ได้ประกอบด้วยอัจฉริยะที่ฉลาดปราดเปรื่อง
แต่ประกอบด้วยคนธรรมดา ตาสี ตาสา อย่างเรานี่แหละ ที่ทำให้โลกดำเนินต่อไปได้และทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ
จึงมีคำกล่าวว่า “พระเจ้ามิได้ทรงต้องการคนพิเศษเพื่อที่จะทำสิ่งพิเศษ
แต่พระเจ้าทรงต้องการคนธรรมดาที่จะทำสิ่งธรรมดา แต่ทำอย่างพิเศษ”
ประการที่สาม ผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น นี่เป็นกฎธรรมดาของชีวิต
ถ้าคนหนึ่งมีความรู้มากขึ้น เขาย่อมสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นไปอีก
ในทางกลับกันคนที่มีความรู้หรือความสามารถเพียงเล็กน้อยแล้วไม่พยายามพัฒนา
ในที่สุดเขาจะสูญเสียความรู้หรือความสามารถนั้นไป เราจึงไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้
ถ้าเราไม่ก้าวไปข้างหน้าเราก็ถอยหลัง ความรู้และความสามารถต่างๆ หากไม่ใช้หรือฝึกฝน
ที่สุด จะสูญเสียมันไป เราจึงต้องพัฒนาและก้าวหน้าทุกวัน เรียนรู้สิ่งต่างๆ
เพิ่มขึ้นและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวรสารวันนี้พุ่งความสนใจไปที่ท่าทีของคริสตชนต่อชีวิตในโลก
ซึ่งรอคอยการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า
คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์เตือนเราถึงความสามารถและพระที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เรา
บางคนอาจได้รับห้าตะลันต์ สองตะลันต์และหนึ่งตะลันต์ ให้เราได้ถามตัวเราเองว่าเราได้ใช้พระพรและความสามารถต่างๆ
ที่เรามีในการรับใช้พระเจ้าและผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน
การเก็บซ่อนไว้คือการทำลายตัวเอง แต่การใช้มันเพื่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย
คริสตชนหลายคนอาจคิดว่า
เพียงแค่ไปวัดวันอาทิตย์ตามหน้าที่และไม่มีเรื่องกับใคร ก็เป็นคริสตชนที่ดี
ไปสวรรค์ได้แล้ว เรื่องราวคนใช้ที่นำเงินตะลันต์ไปฝังดินไว้
เตือนเราว่าจะอยู่เฉยไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่วิถีชีวิตคริสตชน เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเราเองและต่อพระพรต่างๆ
ที่เราได้รับจากพระเจ้า โดยใช้อย่างชาญฉลาดและทำให้เกิดผล เพื่อพระเจ้าและผู้อื่น
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว11 พฤศจิกายน 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น