วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การรับใช้ผู้อื่น


การรับใช้ผู้อื่น

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา
ปี A
มลค 1:14-2:2.8-10
1 ธส 2:7-9.13
มธ 23:1-12

บทนำ

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กล่าวกับศิษย์และผู้ติดตามที่ใกล้ชิดว่า “ฉันไม่ต้องการพิธีฝังศพที่ยืดยาวในวันที่ไปหาพระเจ้า และถ้าจะมีใครกล่าวสดุดีฉัน บอกเขาให้พูดสั้นๆ... ไม่ต้องพูดถึงการได้รับรางวัลโนเบลที่ฉันได้รับ นั่นไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องเน้นว่าฉันได้รับรางวัลต่างๆ มากถึงสามสี่ร้อยรางวัล นั่นไม่ได้สลักสำคัญอะไร ไม่ต้องเน้นว่าฉันเข้าเรียนที่ไหน สิ่งที่ฉันต้องการให้คนพูดถึงฉันในวันนั้นคือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้อุทิศชีวิตของเขาในการรับใช้ผู้อื่น

ธรรมาจารย์ คือผู้มีอาชีพศึกษาและอธิบายพระบัญญัติกับธรรมประเพณี พร้อมทั้งออกกฎเกณฑ์สำหรับกรณีต่างๆ ตัวอย่าง วันสะบาโตห้ามทำการ 39 อย่าง เช่น ห้ามเก็บเกี่ยว ห้ามนวดข้าว ซึ่งรวมถึงการเด็ดรวงข้าว (ลก 6:1-2) มีการกำหนดระยะทางที่จะเดินในวันสะบาโต (กจ 1:12) ระยะทางที่ยาวที่สุดที่จะเดินได้ในวันสะบาโตคือประมาณ 1 กิโลเมตร น่าเศร้าที่พวกธรรมาจารย์มัวแต่ยุ่งกับการรักษากฎระเบียบหยุมหยิมของธรรมประเพณีเหล่านี้ จนลืมรากฐานที่สำคัญของพระบัญญัติ (มก 7:1-13, 3:4-5)

ชาวฟาริสี เป็นกลุ่มที่เคร่งครัดในการรักษาความบริสุทธิ์ทางศาสนา  สิ่งที่พวกเขาเน้นมากที่สุดคือ การรักษาธรรมบัญญัติและธรรมประเพณีอย่างเคร่งครัด ถ้าตัดสินตามมาตรฐานทั่วไปแล้ว พวกเขาเป็นยิวที่เป็นแบบอย่างที่ดี (ฟป 3:5-6) พวกเขาจำเป็นต้องแยกตัวจากคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่า ฉันบริสุทธิ์กว่าคนอื่น ความหยิ่งเกิดจากการทำตามกฎบัญญัติอย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นว่า การปฏิบัติตามกฎต่างๆ นั้นสำคัญกว่าความรักและความเมตตาต่อผู้อื่น นี่เป็นเหตุทำให้พวกเขาขัดแย้งกับพระเยซูเจ้า

1.  การรับใช้ผู้อื่น

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีอย่างรุนแรง เพราะพฤติกรรมของพวกเขาที่พูดอย่างหนึ่งแต่กระทำอีกอย่างหนึ่ง “ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูดแต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสำภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้ว” (มธ 23:3-4) พวกเขามีความรอบรู้เกี่ยวกับธรรมบัญญัติอย่างดีเยี่ยม แต่ปัญหาของพวกเขาคือ ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขารู้

พระเยซูเจ้าทรงประณามการหลอกลวงทุกชนิด ทรงตำหนิความหน้าซื่อใจคดของธรรมมาจารย์และชาวฟาริสี ที่แสร้งทำเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ในที่สาธารณะ เพื่อให้คนสังเกตเห็นและหวังการยกย่องชมเชย แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องการอุทิศตน ปฏิบัติต่อกันด้วยความรักและการรับใช้ นี่คือเครื่องหมายที่แท้จริงของการเป็นคริสตชนและศิษย์ของพระคริสตเจ้า พันธกิจของพระศาสนจักรคือ “การรับใช้”

คนทุกวันนี้แสวงหาและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงและหน้าที่ใหญ่โต เพราะนั่นหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง และอำนาจวาสนา อันเป็นยอดปรารถนาของทุกคนในโลก ไม่เว้นแม้ในวงการศาสนา  ในสังคมไทย กล่าวกันว่าเพื่อจะบรรลุถึงตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว จะต้องมีอักษร 3 ตัวนี้: ด-ว-ง ที่ไม่ใช่ “โชควาสนา”

1)           หมายถึง “เด็กของใคร” หรือเด็กเส้นในระบบอุปถัมภ์ ที่เขาจะดูว่าใครให้การสนับสนุน เป็นศิษย์ของใคร จบการศึกษาจากสถาบันไหน นามสกุลอะไร

2)           หมายถึง “วิ่ง” หากไม่มีอย่างแรกต้องวิ่งเข้าหาคนใหญ่โตหรือผู้มีชื่อเสียงดีเป็นที่รู้จัก เพื่อให้การรับรองหรือสนับสนุนฝากฝังให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ

3)           หมายถึง “เงิน” หากไม่มีทั้งสองอย่าง เงินต้องถึง เข้าทำนองจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ

นี่คือวิธีบรรลุถึงความสำเร็จในชีวิตและได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในทางโลก แต่ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงให้คำตอบในลักษณะตรงข้าม “ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น” (มธ 23:11) พระวาจาตอนนี้คือบทสรุปชีวิตและแบบอย่างของพระเยซูเจ้าที่เสด็จมามิใช่เพื่อให้คนอื่นรับใช้ แต่เพื่อรับใช้ผู้อื่น (มธ 20:26) และทรงมอบแบบอย่างนี้ไว้ให้แก่เราในการล้างเท้าอัครสาวก (ดู ยน 13:1-15)

2.  บทเรียนสำหรับเรา

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการดำเนินชีวิตหลายประการ

ประการแรก จงรับใช้ซึ่งกันและกัน อำนาจหน้าที่ที่เราได้รับมามิใช่มีไว้เพื่อใช้บังคับหรืออยู่เหนือคนอื่น แต่เพื่อการรับใช้กันและกันตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า ที่ทรงมอบแบบอย่างนี้แก่เราในการล้างเท้าอัครสาวก การรับใช้จึงเป็นเครื่องหมายที่แท้จริงของการเป็นคริสตชนและศิษย์ของพระองค์ นี่คือ “ความรักในภาคปฏิบัติ” ที่สามารถมองเห็นได้

ประการที่สอง จงลงมือปฏิบัติมากว่าพูด ปัญหาของพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคือ มีความรู้ธรรมบัญญัติเป็นอย่างดีแต่ไม่ปฏิบัติ พวกเขาตีความและขยายระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมบัญญัติถึง 613 ข้อ เพื่อให้คนอื่นปฏิบัติแต่พวกเขากับละเลย ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองสอน ขาดความเมตตากรุณาที่แท้จริงต่อเพื่อนพี่น้อง สิ่งที่เขาเสแสร้งแกล้งทำเพียงเพื่อหวังให้คนเห็นและได้รับคำชม

ประการที่สาม จงมีความสุภาพถ่อมตน เป็นการง่ายที่จะชี้นิ้วด่าว่าคนอื่นว่าเป็นคนไม่ดี ใช้ไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่พระวรสารสอนเราคือ ให้เราย้อนกลับมามองดูที่ตัวเอง สุภาพถ่อมตนและยอมรับในความอ่อนแอไม่เหมาะสมของเรา “ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (มธ 23:12)

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระวรสารทุกตอนเขียนขึ้นเพื่อพระศาสนจักร พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคือเราแต่ละคน ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี รวมถึงเราแต่ละคน ที่ทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นเห็นหรือเพื่อหวังให้คนอื่นชม ไม่ได้มาจากความรักหรือความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่เรามีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง

พระวาจาวันนี้สอนเราว่า ตำแหน่งหมายถึงภาระหน้าที่มิใช่เกียรติยศ ต้องรับใช้มากกว่าที่จะตั้งตนเป็นนาย สำหรับเราคริสตชนเพื่อจะบรรลุถึงชีวิตนิรันดรจะต้องถ่อมตัวเองลง รับใช้ผู้อื่น เพราะชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ดังตัวอย่างของบุญราศีแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาที่สอนว่า การรับใช้คือความรักในภาคปฏิบัติ” และบุญราศียอห์น ปอลที่ 2 ที่ทรงเป็นแบบอย่างของ “ข้ารับใช้แห่งผู้รับใช้ทั้งหลาย”

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
28 ตุลาคม 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น