การรับใช้ผู้อื่น
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา
ปี A
|
มลค 1:14-2:2.8-10
1 ธส 2:7-9.13
มธ 23:1-12
|
บทนำ
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กล่าวกับศิษย์และผู้ติดตามที่ใกล้ชิดว่า
“ฉันไม่ต้องการพิธีฝังศพที่ยืดยาวในวันที่ไปหาพระเจ้า และถ้าจะมีใครกล่าวสดุดีฉัน
บอกเขาให้พูดสั้นๆ... ไม่ต้องพูดถึงการได้รับรางวัลโนเบลที่ฉันได้รับ
นั่นไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องเน้นว่าฉันได้รับรางวัลต่างๆ มากถึงสามสี่ร้อยรางวัล
นั่นไม่ได้สลักสำคัญอะไร ไม่ต้องเน้นว่าฉันเข้าเรียนที่ไหน
สิ่งที่ฉันต้องการให้คนพูดถึงฉันในวันนั้นคือ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้อุทิศชีวิตของเขาในการรับใช้ผู้อื่น’…”
ธรรมาจารย์ คือผู้มีอาชีพศึกษาและอธิบายพระบัญญัติกับธรรมประเพณี
พร้อมทั้งออกกฎเกณฑ์สำหรับกรณีต่างๆ ตัวอย่าง วันสะบาโตห้ามทำการ 39 อย่าง
เช่น ห้ามเก็บเกี่ยว ห้ามนวดข้าว ซึ่งรวมถึงการเด็ดรวงข้าว (ลก
6:1-2) มีการกำหนดระยะทางที่จะเดินในวันสะบาโต (กจ 1:12) ระยะทางที่ยาวที่สุดที่จะเดินได้ในวันสะบาโตคือประมาณ
1 กิโลเมตร น่าเศร้าที่พวกธรรมาจารย์มัวแต่ยุ่งกับการรักษากฎระเบียบหยุมหยิมของธรรมประเพณีเหล่านี้
จนลืมรากฐานที่สำคัญของพระบัญญัติ (มก 7:1-13, 3:4-5)
ชาวฟาริสี เป็นกลุ่มที่เคร่งครัดในการรักษาความบริสุทธิ์ทางศาสนา สิ่งที่พวกเขาเน้นมากที่สุดคือ
การรักษาธรรมบัญญัติและธรรมประเพณีอย่างเคร่งครัด ถ้าตัดสินตามมาตรฐานทั่วไปแล้ว
พวกเขาเป็นยิวที่เป็นแบบอย่างที่ดี (ฟป 3:5-6) พวกเขาจำเป็นต้องแยกตัวจากคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่า “ฉันบริสุทธิ์กว่าคนอื่น” ความหยิ่งเกิดจากการทำตามกฎบัญญัติอย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นว่า การปฏิบัติตามกฎต่างๆ
นั้นสำคัญกว่าความรักและความเมตตาต่อผู้อื่น
นี่เป็นเหตุทำให้พวกเขาขัดแย้งกับพระเยซูเจ้า
1. การรับใช้ผู้อื่น
ในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีอย่างรุนแรง เพราะพฤติกรรมของพวกเขาที่พูดอย่างหนึ่งแต่กระทำอีกอย่างหนึ่ง
“ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด
แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูดแต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสำภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น
แต่เขาไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้ว” (มธ 23:3-4) พวกเขามีความรอบรู้เกี่ยวกับธรรมบัญญัติอย่างดีเยี่ยม
แต่ปัญหาของพวกเขาคือ ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขารู้
พระเยซูเจ้าทรงประณามการหลอกลวงทุกชนิด
ทรงตำหนิความหน้าซื่อใจคดของธรรมมาจารย์และชาวฟาริสี ที่แสร้งทำเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ในที่สาธารณะ
เพื่อให้คนสังเกตเห็นและหวังการยกย่องชมเชย แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องการอุทิศตน ปฏิบัติต่อกันด้วยความรักและการรับใช้
นี่คือเครื่องหมายที่แท้จริงของการเป็นคริสตชนและศิษย์ของพระคริสตเจ้า
พันธกิจของพระศาสนจักรคือ “การรับใช้”
คนทุกวันนี้แสวงหาและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงและหน้าที่ใหญ่โต
เพราะนั่นหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง และอำนาจวาสนา
อันเป็นยอดปรารถนาของทุกคนในโลก ไม่เว้นแม้ในวงการศาสนา ในสังคมไทย
กล่าวกันว่าเพื่อจะบรรลุถึงตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว จะต้องมีอักษร 3 ตัวนี้:
ด-ว-ง ที่ไม่ใช่ “โชควาสนา”
1)
ด หมายถึง “เด็กของใคร”
หรือเด็กเส้นในระบบอุปถัมภ์ ที่เขาจะดูว่าใครให้การสนับสนุน เป็นศิษย์ของใคร
จบการศึกษาจากสถาบันไหน นามสกุลอะไร
2)
ว หมายถึง “วิ่ง”
หากไม่มีอย่างแรกต้องวิ่งเข้าหาคนใหญ่โตหรือผู้มีชื่อเสียงดีเป็นที่รู้จัก
เพื่อให้การรับรองหรือสนับสนุนฝากฝังให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ
3)
ง
หมายถึง “เงิน”
หากไม่มีทั้งสองอย่าง เงินต้องถึง
เข้าทำนองจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ
นี่คือวิธีบรรลุถึงความสำเร็จในชีวิตและได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในทางโลก แต่ในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าทรงให้คำตอบในลักษณะตรงข้าม “ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น”
(มธ 23:11)
พระวาจาตอนนี้คือบทสรุปชีวิตและแบบอย่างของพระเยซูเจ้าที่เสด็จมามิใช่เพื่อให้คนอื่นรับใช้
แต่เพื่อรับใช้ผู้อื่น (มธ 20:26) และทรงมอบแบบอย่างนี้ไว้ให้แก่เราในการล้างเท้าอัครสาวก
(ดู ยน 13:1-15)
2. บทเรียนสำหรับเรา
ในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการดำเนินชีวิตหลายประการ
ประการแรก จงรับใช้ซึ่งกันและกัน อำนาจหน้าที่ที่เราได้รับมามิใช่มีไว้เพื่อใช้บังคับหรืออยู่เหนือคนอื่น
แต่เพื่อการรับใช้กันและกันตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า
ที่ทรงมอบแบบอย่างนี้แก่เราในการล้างเท้าอัครสาวก การรับใช้จึงเป็นเครื่องหมายที่แท้จริงของการเป็นคริสตชนและศิษย์ของพระองค์
นี่คือ “ความรักในภาคปฏิบัติ” ที่สามารถมองเห็นได้
ประการที่สอง จงลงมือปฏิบัติมากว่าพูด ปัญหาของพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคือ
มีความรู้ธรรมบัญญัติเป็นอย่างดีแต่ไม่ปฏิบัติ พวกเขาตีความและขยายระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ
ที่เกี่ยวกับธรรมบัญญัติถึง 613 ข้อ เพื่อให้คนอื่นปฏิบัติแต่พวกเขากับละเลย
ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองสอน ขาดความเมตตากรุณาที่แท้จริงต่อเพื่อนพี่น้อง
สิ่งที่เขาเสแสร้งแกล้งทำเพียงเพื่อหวังให้คนเห็นและได้รับคำชม
ประการที่สาม จงมีความสุภาพถ่อมตน เป็นการง่ายที่จะชี้นิ้วด่าว่าคนอื่นว่าเป็นคนไม่ดี ใช้ไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่พระวรสารสอนเราคือ
ให้เราย้อนกลับมามองดูที่ตัวเอง
สุภาพถ่อมตนและยอมรับในความอ่อนแอไม่เหมาะสมของเรา “ผู้ใดที่ยกตนขึ้น
จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (มธ 23:12)
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวรสารทุกตอนเขียนขึ้นเพื่อพระศาสนจักร พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคือเราแต่ละคน
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี รวมถึงเราแต่ละคน
ที่ทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นเห็นหรือเพื่อหวังให้คนอื่นชม
ไม่ได้มาจากความรักหรือความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่เรามีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง
พระวาจาวันนี้สอนเราว่า ตำแหน่งหมายถึงภาระหน้าที่มิใช่เกียรติยศ
ต้องรับใช้มากกว่าที่จะตั้งตนเป็นนาย
สำหรับเราคริสตชนเพื่อจะบรรลุถึงชีวิตนิรันดรจะต้องถ่อมตัวเองลง รับใช้ผู้อื่น เพราะชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ดังตัวอย่างของบุญราศีแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาที่สอนว่า “การรับใช้คือความรักในภาคปฏิบัติ” และบุญราศียอห์น ปอลที่ 2 ที่ทรงเป็นแบบอย่างของ “ข้ารับใช้แห่งผู้รับใช้ทั้งหลาย”
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว28 ตุลาคม 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น