วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อย่างนี้... เราคงไม่ได้เจอพ่ออีก



อย่างนี้... เราคงไม่ได้เจอพ่ออีก


นับตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนมอร์เตอร์ไซด์ที่ตัดหน้าระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้คู่กรณีเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2013 นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กลับมาที่นาบัวอีกครั้ง (วันที่ 14 ตุลาคม 2013) เมื่อขับรถเข้าในบริเวณวัด เด็กๆ ที่เล่นกันอยู่หน้าวัดจำได้ พูดกันปากต่อปากว่า “พ่อมาแล้วๆ” จากนั้นก็วิ่งกรูกันมาขึ้นรถเหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยทำ เมื่อลงจากรถก็ล้อมหน้าล้อมหลัง จนบางคนแซวว่า “แฟนคลับชาวนาบัวยังเยอะเหมือนเดิม”
อีกทั้ง ทำให้นึกถึงข้อความที่มีคนส่งมาเตือนสติในวันที่ย้ายออกจากนาบัว (7 พฤษภาคา 2013) ที่ว่า “วันนี้เราอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เราไม่อยู่แล้ว วันนี้เขาจำเราได้ พรุ่งนี้เขาก็ลืมเราแล้ว” เพื่อให้ปล่อยวางและไม่ติดยึด แต่ก็ดีใจทุกครั้งที่กลับมานาบัว-โพนสวางและรับรู้ถึงความรักความห่วงใยที่พี่น้องชาวนาบัว-โพนสวางมีให้ หลายคนที่พบเจอเล่าให้ฟังว่าหลังทราบข่าวจากการประกาศของคุณพ่อเจ้าวัด ทุกคนตกใจกันหมด เป็นห่วง เป็นกังวลแทน หลายคนโทรศัพท์มาถามความจริงและให้กำลังใจ อีกหลายคนภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี
การกลับมานาบัวครั้งนี้ นอกจากร่วมโมทนาคุณพระเจ้ากับคุณพ่อชำนาญ บัวขันธ์ โอกาสฉลองครบ 25 ปีชีวิตสงฆ์แล้ว ยังถือโอกาสมาพบปะและขอบคุณพี่น้องชาวนาบัว-โพนสวางที่ไม่มีโอกาสได้ล่ำลาในวันที่จากไป อีกทั้ง มีเรื่องหนึ่งที่ได้ยินจากปากแม่ตู้ที่นับถือเหมือนแม่ (เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่ที่บ้าน) ได้ฟังแล้วก็บอกกับตนเองว่าต้องบันทึกเอาไว้ และนำมาถ่ายทอดให้หลายคนได้รับรู้ อย่างน้อยเพื่อเตือนสติตัวเองและเป็นแง่คิดสำหรับอีกหลายคน
เรื่องมีอยู่ว่า แม่ตู้คนนี้มีหลานสาวสองคนพี่น้อง คนโตอยู่ชั้น ป. 6 คนน้องอยู่ชั้น ป.2 สองคนนี้จะมาวัดก่อนเพื่อนทุกวันไม่เคยขาดและคอยช่วยมิสซาเป็นประจำ เมื่อทราบเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็ร้องไห้ จนกระทั่งเย็นก่อนเข้านอนสองคนพี่น้องยังร้องไห้อยู่ แม่ตู้จึงถามว่า “ร้องไห้ทำไม พ่อไม่ได้เป็นอะไร” คนโตตอบแม่ตู้ว่า “แต่พ่อฆ่าคนตาย อย่างนี้ ในโลกหน้า เราคงไม่ได้เจอพ่ออีก” แม่ตู้จึงอธิบายว่า “พ่อคงไม่ตกนรกหรอก เพราะพ่อไม่ได้มีเจตนาฆ่าคนตาย มันเป็นอุบัติเหตุไม่ได้ตั้งใจ” สองคนพี่น้องจึงรู้สึกดีขึ้น และขอให้แม่ตู้พาสวดสายประคำให้พ่อจนกระทั่งหลับไป
“อย่างนี้ ในโลกหน้า เราคงไม่ได้เจอพ่ออีก” เป็นคำพูดซื่อๆ ที่ออกมาจากปากเด็กหญิงอายุ 12 ขวบ ซึ่งได้ยินแล้วสะอึกและน้ำตาไหล เธอไม่เพียงห่วงใยชีวิตในโลกนี้ แต่ยังห่วงใยวิญญาณในโลกหน้า กลัวไม่ได้พบกันอีก ทำให้นึกถึงพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา” (มธ 16:26)
เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตคริสตชนในโลกนี้คือ การอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์หรือความรอดนิรันดร หากการดำเนินชีวิตในโลกนี้ทำให้เราพลาดเป้าหมายสุดท้ายนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่สูญเปล่าและน่าสงสารที่สุด ทั้งนี้เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รอด และอยู่กับพระองค์อย่างมีความสุขตลอดไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน พระเจ้าทรงให้อิสระแก่เราที่จะเลือกหรือปฏิเสธ ดังนั้น ความรอดจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น แต่ขึ้นกับเราและเป็นหน้าที่ของเราด้วย
เราจะต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุดขณะที่ยังมีเวลาและชีวิตอยู่ หากเราซื่อสัตย์ต่อหน้าที่คริสตชนและดำเนินชีวิตตามแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นต้นในความรักและการให้อภัยซึ่งกันและกัน ความยินดีในสวรรค์จะเป็นของเรา แน่นอนว่าไม่มีทางลัดสำหรับการไปสวรรค์ “อาณาจักรสวรรค์ต้องการความอดทนและความพยายาม ผู้ที่ใช้ความอดทนและความพยายามเท่านั้น จึงจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้” (มธ 11:12) ดังนั้น เราจึงไม่ควรท้อถอยในการทำความดีและและทำหน้าที่คริสตชน
คุณพ่อขวัญ  ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
17 ตุลาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น