วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การภาวนาโดยไม่ท้อถอย



การภาวนาโดยไม่ท้อถอย
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา
ปี C
อพย 17:8-13
2 ทธ 3:14; 4:2
ลก 18:1-8
บทนำ
นานมาแล้ว มีเด็กชายจากรัฐอิลลินอยส์คนหนึ่ง ได้เข้าเรียนในระบบโรงเรียนเพียง 6 เดือน จากนั้นได้ออกจากโรงเรียนมาอยู่บ้านโดยมีแม่คอยสอนให้มีความฝัน และความมานะพยายามที่จะทำให้ความฝันนั้นเป็นความจริง ด้วยพลังของการภาวนาไม่หยุดหย่อน แรกทีเดียวเขาเข้าสอบแข่งขันเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแต่ประสบความพ่ายแพ้ ต่อมาทำธุรกิจแต่ล้มเหลวและต้องใช้เวลาถึง 17 ปีในการใช้หนี้ที่หุ้นส่วนของเขาเป็นคนก่อ เมื่อโตเป็นหนุ่มเขาตกหลุมรักและหมั้นกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์คนหนึ่ง แต่เธอมาด่วนจากไปก่อนที่จะได้แต่งงานกัน
ต่อมาเขาได้เข้าแข่งขันเป็นสมาชิกรัฐสภาและพ่ายแพ้ เขาจึงหันมาสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินแต่ไม่ได้รับการคัดเลือก ด้วยความเชื่อในพลังของการภาวนา เขาสมัครเป็นรองประธานาธิบดีและพ่ายแพ้ สองปีต่อมาเขาสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาและพ่ายแพ้อีกครั้ง กระทั่งเขาตัดสินใจลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา นาม อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ความฝันของเขากลายเป็นความจริงได้ด้วยการภาวนาที่ไม่ท้อถอย
เช่นเดียวกัน วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) ต้องใช้เวลา 3 ปีในการเรียนเกรด 8 ในโรงเรียน เนื่องจากสอบไม่ผ่านวิชาภาษาอังกฤษ หลายปีต่อมาเขาได้รับเชิญให้ไปแสดงปาถกถาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ในฐานะผู้ที่ประสบผลสำเร็จทางการศึกษา สุนทรพจน์ของเขาในวันนั้นประกอบด้วยคำ 3 คำ “ไม่ท้อถอย” (Never give up) และนี่คือสารจากคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายยากจนกับผู้พิพากษาอยุติธรรม ที่บอกกับเราในพระวรสารวันนี้

1.         การภาวนาโดยไม่ท้อถอย
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้หยิบยกคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายกับผู้พิพากษาอยุติธรรม เพื่อสอนว่า “จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” (ลก 18:1) พระเยซูเจ้าได้นำเสนอเรื่องราวของหญิงม่ายคนหนึ่งที่ต้องการให้คดีความของตนได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษา นางไปหาผู้พิพากษาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง ความเพียรพยายามของเธอทำให้ผู้พิพากษาหมดความอดทน ยอมพิจารณาตัดสินคดีความให้ในที่สุด (เพื่อนางจะได้ไม่มารบกวนให้รำคาญใจอีก)
ในสังคมอิสราแอลโบราณ หญิงม่ายถือเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสังคม เป็นตัวแทนของคนยากจน ไม่มีที่พึ่งและปกป้องตัวเองไม่ได้  พระเจ้าจึงทรงเอาพระทัยใส่พวกนางเป็นพิเศษโดยตรัสว่า ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า... เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน (อพย 22:22-23) หญิงม่ายที่ปรากฏในคำอุปมาถูกคนกลั่นแกล้งต่างๆ นานา จึงต้องมาร้องขอความยุติธรรมจากผู้พิพากษา
คำอุปมาเรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างพระเจ้ากับผู้พิพากษาอธรรม:
ประการแรก ผู้พิพากษาเป็นคนโลภ รับสินบน บิดเบือนความจริง และหากินบนความทุกข์ของคนอื่น ส่วนพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรมและเท่าเสมอกัน
ประการที่สอง ผู้พิพากษาไม่รู้จักหญิงม่ายยากจนคนนี้มาก่อน จึงไม่มีความผูกพันกัน ส่วนพระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ก่อนที่จะเกิดมาด้วยซ้ำ (เทียบ ยรม 1:4) พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ ในเมื่อผู้พิพากษาอธรรมยังยอมให้ความยุติธรรมแก่หญิงม่าย แล้วพระเจ้าผู้เป็นองค์ความดีบริบูรณ์ จะประทานยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด (ดู ลก 11:5-8)
2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย การภาวนาคือเครื่องพิสูจน์ที่ดียิ่งสำหรับผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระคริสตเจ้า และเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่จะช่วยเราให้สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง เราภาวนาบ่อยแค่ไหนในชีวิตของเรา และสาระสำคัญในการภาวนาของเราแต่ละครั้งคืออะไร ประการสำคัญ เราควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการภาวนา ดังนี้:
1)            พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา หลายครั้งเด็กๆ มักจะขอสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง เช่น อยากเล่นไฟ ของมีคมหรืออยากกินสิ่งที่เป็นอันตราย พ่อแม่ที่รักลูกย่อมไม่ให้ตามที่เขาต้องการ พระเจ้าเช่นเดียวกันย่อมประทานสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรของพระองค์
2)            พระเจ้าทรงเห็นกาลเวลาทั้งหมด เราเป็นเหมือนคนที่ไปดูหนังตอนกลางเรื่อง ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ เราเห็นแต่ปัจจุบันซึ่งเป็นเหตุการณ์เพียงสั้นๆ เราจึงภาวนาวอนขอพระเจ้าด้วยความโง่เขลา พระเจ้าไม่ทรงตอบคำขอของเรา เพราะพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่
3)            การภาวนาต้องมาจากน้ำใสใจจริง ความเพียรพยายามของหญิงม่ายในคำอุปมา พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจของเธอ การที่พระเจ้าจะทรงตอบคำภาวนาของเรา ขึ้นอยู่กับความปรารถนาอันแรงกล้าของเรา
ประการที่สอง เราต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุด พระเจ้าจะไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเอง เช่น หากเราต้องการผ่านการสอบ คำภาวนาอย่างเดียวไม่พอ เราต้องเตรียมตัวสอบอย่างดีด้วย หรือหากเราต้องการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ต้องร่วมมือกับหมอ กินยาและปฏิบัติตนตามคำสั่งหมอย่างเคร่งครัด
ประการที่สาม เราต้องขอบคุณและแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า คำภาวนาที่ดีที่สุดยาวเพียงสองพยางค์คือคำว่า “ขอบคุณ” การภาวนาที่ดีจึงมิใช่การพูดจายืดยาว หรือการขอสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า แต่เป็นการขอบคุณและแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า เราจะต้องภาวนาอย่างพระเยซูเจ้า ณ สวนเกทเสมนีที่ว่า “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มธ 26:42)

บทสรุป
พี่น้องที่รัก คำอุปมาในพระวรสารวันนี้สอนเราว่าจำเป็นจะต้องภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย ไม่ว่าในเรื่องใดคนเราจะบรรลุถึงเป้าหมายได้ด้วยความเพียรพยายามเท่านั้น ดังคำกล่าวที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อีกทั้งยังให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราว่า เราสามารถเข้าถึงพระบิดาเจ้าของเรา ผู้พร้อมจะประทานสิ่งที่ดีงามแก่เรา เกินกว่าที่เราวอนขอเสียอีก
การภาวนาคือการยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า ดำรงตนในความรักต่อพระองค์ และทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด การภาวนาจะมีความหมายและปรากฏเป็นจริง เมื่อเราได้พยายามออกแรงทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ดังนั้น เราจึงต้องภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอยหรือสิ้นหวัง เพราะ “การภาวนาคือน้ำมันที่ทำให้ตะเกียงแห่งความเชื่อของเราลุกโชนอยู่เสมอ” (บุญราศีเทเรซาแห่งกัลกัตตา) ประการสำคัญ เราภาวนามิใช่เพื่อเปลี่ยนพระประสงค์ของพระเจ้า แต่เพื่อแสวงหาและทำตามพระประสงค์ของพระองค์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
18 ตุลาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น