วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อย่ากลัวเลย


 อย่ากลัวเลย 

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
ปี A
1พกษ 19:9.11-13
รม 9:1-5
มธ 14:22-33

บทนำ

ในอดีตกาลของการแล่นเรือ เด็กหนุ่มที่ใฝ่ฝันอยากออกทะเลเป็นกลาสี จะต้องผ่านบททดสอบที่สำคัญ ในวันที่ทะเลเกิดพายุกะลาสีได้สั่งให้เด็กหนุ่มปีนเสากระโดงเรือ ในช่วงแรกของการปีนเสากระโดงดูเหมือนง่าย เพราะตาของเขาเพ่งมองท้องฟ้า แต่เมื่อปีนเสากระโดงเลยครึ่งเสา เขาได้ทำสิ่งที่ผิดด้วยการมองดูคลื่นลมเบื้องล่าง จนเกิดอาการวิงเวียนตาลายและกำลังจะตกลงมา

กะลาสีที่เฝ้าดูอยู่ได้ร้องบอกเขาให้มองท้องฟ้าเหมือนเดิม เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของกะลาสีแต่โดยดี จึงสามารถผ่านบททดสอบนี้อย่างปลอดภัย ความผิดพลาดของเด็กหนุ่มที่ละสายตาจากเป้าหมายและก้มมองดูคลื่นลมเบื้องล่าง เหมือนกับสิ่งที่เปโตรทำในพระวรสารวันนี้ เปโตรละสายตาจากพระเยซูเจ้าและมองดูคลื่นลมที่น่ากลัวรอบตัวท่าน

ในพระวรสารวันนี้ ได้กล่าวถึงอัศจรรย์สองอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ นั่นคือการเดินบนน้ำและการช่วยสาวกของพระองค์ให้รอดจากพายุแรงกล้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการทำอัศจรรย์ทวีขนมปังเลี้ยงคนมากกว่าห้าพันคน พระองค์ได้สั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือไปยังอีกฝากหนึ่ง ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา ติดต่อสัมพันธ์กับพระบิดาเจ้าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน ซึ่งพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เป็นประจำ

1. อย่ากลัวเลย

การเดินบนน้ำของพระเยซูเจ้าแสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงอำนาจเหนือพลังอำนาจทางธรรมชาติและสิ่งเหนือธรรมชาติทุกอย่าง ชาวยิวมีความเชื่อว่าท้องทะเลอยู่ใต้อำนาจของปีศาจ ทะเลที่บ้าคลั่งและพายุที่พัดกระหน่ำเป็นผลงานของจิตชั่ว ดังนั้น การเดินบนน้ำทะเลและสามารถบังคับคลื่นลมให้สงบลงได้ จึงแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงอำนาจเหนือจิตชั่ว พระองค์สามารถบังคับควบคุมปีศาจให้อยู่ใต้อำนาจได้

เรือที่แล่นอยู่กลางทะเลเป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระศาสนจักรที่กำลังเดินทางในโลก เรือของบรรดาสาวกที่ถูกคลื่นซัดเป็นรูปหมายถึงพระศาสนจักร ที่ถูกค่านิยมและกระแสของโลกถาโถมเข้าใส่ โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของพระศาสนจักรที่ถูกเบียดเบียนอย่างรุนแรง ในท่ามกลางภาวะวิกฤตพระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อสร้างสันติภาพและนำความสงบสุขมาสู่ทุกคนที่อยู่ในเรือ

 พระเยซูเจ้าเสด็จมาในรูปแบบที่บรรดาสาวกเองจำไม่ได้ ต่างตกใจกลัวและเข้าใจว่าพระองค์เป็นผี  แต่หากเราฟังอย่างตั้งใจ เราจะได้ยินเสียงแผ่วเบาของพระองค์ที่ตรัสกับเราเหมือนที่ตรัสบรรดาสาวกว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” (มธ 14:27) หากเราเชื่อพระวาจานี้และเชื้อเชิญพระองค์ให้ขึ้นมาบนเรือแห่งชีวิตของเรา พายุร้ายและคลื่นลมแห่งชีวิตจะสงบลง ปัญหาวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่จะได้รับการแก้ไข

2. บทเรียนสำหรับเรา

พระวรสารวันนี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราหลายประการ

ประการแรก พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่กับเรา โดยเฉพาะในเวลาที่เรากำลังเผชิญกับปัญหา ความยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือ แม้เราจะมองไม่เห็นหรือจำพระองค์ไม่ได้ก็ตาม แต่พระองค์ทรงประทับอยู่เคียงข้างเราเสมอ เพื่อปกป้องดูแลและเป็นแหล่งพลังแห่งชีวิตของเรา ดังนั้น เราจึงไม่ควรหวาดกลัวหรือกังวลสิ่งใด

ประการที่สอง พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นพยานในโลก เราถูกเรียกให้ปฏิเสธค่านิยมและกระแสของโลก แยกตัวออกไปจากความวุ่นวายที่อยู่รอบตัวเราเพื่ออธิฐานภาวนา เหมือนพระเยซูเจ้าที่เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสนทนากับพระบิดาเจ้าโดยลำพัง เรามีพันธกิจในการนำผู้คนให้มารู้จักพระเยซูเจ้าอาศัยแบบอย่างชีวิตของเรา ช่วยให้พวกเขาจำพระองค์ได้และยอมรับอำนาจปกครองของพระองค์

ประการที่สาม พระเยซูเจ้าต้องการให้เราวางใจและเชื่อในพระองค์ ในพระวรสารเปโตรเชื่อและต้องการพิสูจน์ว่าใช่พระอาจารย์เจ้าหรือเปล่า จึงขอเดินบนทะเลไปหาพระองค์ แต่เมื่อหันความสนใจไปยังสิ่งอื่นทำให้เริ่มจมลง สุดท้ายต้องร้องขอช่วยเหลือจากพระองค์ นักบุญจึงไม่ใช่คนที่ไม่เคยผิดพลาด แต่เป็นบุคคลที่รู้จักลุกขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง ดังนั้น เราจึงไม่ควรวางใจในสิ่งอื่น แต่ควรวางใจและเพ่งมองไปที่พระเจ้า ผู้เป็นท่อธารแห่งพระพรสำหรับเราเท่านั้น

บทสรุป

พี่น้องที่รัก เราได้เห็นบทบาทของเปโตรในฐานะหัวหน้าอัครสาวก ที่ก้าวออกจากเรือเพื่อไปพบพระเยซูเจ้าท่ามกลางพายุแรงกล้า นี่คือพันธกิจของเราในฐานะคริสตชนในโลก ที่จะต้องนำคนอื่นให้มารู้จักพระคริสตเจ้า กล้าทวนกระแสของโลกโดยไม่ละสายตาไปจากพระองค์ ผู้เป็นเป้าหมายที่แท้จริงแห่งชีวิต ดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงพระองค์ด้วยความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่วางใจในตัวเองหรือสิ่งอื่น

ทุกวันอาทิตย์เรามาวัดเพื่อรับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท พระองค์ทรงรอคอย ทรงอ้าแขนโอบกอดและพร้อมที่จะยื่นมือออกช่วยเหลือเราเสมอ ในท่ามกลางปัญหาและความยากลำบากในชีวิต พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่กับเรา ขอพียงเราหันหัวใจของเรามาหาพระองค์ เราจะได้ยินพระดำรัสของพระองค์ที่ตรัสกับเราว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” ขอพระองค์ทรงเพิ่มพูนความเชื่อที่น้อยนิดของเราให้เข้มแข็ง เพื่อว่าเมื่อเผชิญกับพายุร้ายแห่งชีวิต เราจะได้เพ่งมองและวางใจในพระองค์แต่ผู้เดียว
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
6 สิงหาคม 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น