บสร 15:15-20
1 คร 2:6-10
มธ 5:17-37
บทนำ
นักบุญมัทธิว ได้เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างธรรมบัญญัติของชาวยิวกับคำสอนของพระเยซูเจ้า ที่สอนด้วยแบบอย่างชีวิตของพระองค์ว่า พระองค์มิได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พระองค์บอกเราว่า ธรรมบัญญัติยังคงมีพลังและเจตนาที่เด่นชัดในตัวมันเอง จนกว่าจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ตามจุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ชาวอิสราแอลผ่านทางโมเสส และพระองค์ทรงมอบบัญญัติใหม่ให้แก่เรา นั่นคือ “บัญญัติแห่งความรัก”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า พระองค์มิได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ ผู้ฟังที่ได้ยินพระองค์คงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะพระองค์ถูกกล่าวหาว่าละเมิดธรรมบัญญัติ สุดท้าย ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเหตุผลดังกล่าว คำว่า “ธรรมบัญญัติ” สำหรับชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้า มีความหมายที่แตกต่างกัน 4 อย่างด้วยกัน
ประการแรก หมายถึง พระบัญญัติสิบประการ ที่พระเจ้าประทานแก่ชนชาติอิสราแอลผ่านทางโมเสสที่ภูเขาซีนาย เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตสำหรับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร
ประการที่สอง หมายถึง หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ หนึ่งในหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ ที่เรียกว่า “ปัจจบรรพ” ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวยิว
ประการที่สาม หมายถึง คำสอนของบรรดาประกาศก ที่อธิบายพระคัมภีร์และตักเตือนประชาชนในแต่ละยุคสมัย ให้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ประการสุดท้าย หมายถึง ระเบียบปฏิบัติหรือรายละเอียดปลีกย่อย ที่บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีกำหนดขึ้น เพื่อเป็นแนวปฏิบัติสำหรับชาวยิวในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของวันสะบาโต การถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร การอดอาหาร การให้ทาน และการภาวนา
1. ธรรมบัญญัติและคำสอนของพระเยซูเจ้า
นักบุญมัทธิว เขียนพระวรสารสำหรับชาวยิว โดยอ้างพันธสัญญาเดิม เพื่อแสดงให้เห็นว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าไม่ได้แยกต่างหากจากธรรมประเพณีของชาวยิว แต่เป็นผู้ที่บรรดาประกาศกในพันธสัญญาเดิมทำนายถึง และพระองค์ได้ทำให้คำทำนายของบรรดาประกาศกสำเร็จไป เมื่อพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ได้มาทำลายธรรมบัญญัติแต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์ นั่นหมายความว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อชี้ให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของธรรมบัญญัติ บนหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ “การแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าได้สรุปพระบัญญัติสิบประการในความสัมพันธ์ที่พึงมีต่อพระเจ้าและต่อผู้อื่น อันเป็นที่มาของบัญญัติแห่งความรัก นั่นคือ รักพระเจ้าและรักเพื่อนพี่น้อง พระองค์ไม่ได้ลบล้างธรรมบัญญัติ แต่ได้นำเสนอวิธีคิดและความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมบัญญัติ สำหรับพระองค์ “การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ” ไม่เป็นการเพียงพอ ผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์จำเป็นจะต้องเข้าใจถึงความหมายที่ว่า ธรรมบัญญัติตั้งอยู่บนความรัก การรักษาธรรมบัญญัติโดยปราศจากความรัก จึงเป็นเหมือนกับร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณ
ดังนี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า “ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้” (มธ 5:20) พระองค์ทรงชมเชยบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีในการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาที่ไม่ถือปฏิบัติตามจิตตารมย์ของธรรมบัญญัติ เพราะพวกเขาถือตามกฎเกณฑ์แต่ภายนอกเพื่อสนองตอบความพึงพอใจของตนเอง แต่ไม่ได้นำความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมาปฏิบัติในชีวิตจริง
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวรสารวันนี้ได้ให้แนวปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของพระเยซูเจ้า 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ความโกรธ การผิดประเวณี การหย่าร้าง และการสาบาน พระองค์ทรงเริ่มคำสอนด้วยพระดำรัสที่ว่า “ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า…” แล้วสอนว่า “แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า…” ซึ่งเป็นการทำให้ธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทรงเรียกร้องให้เราทำมากกว่าธรรมบัญญัติหรือคำสอนในอดีต เราไม่สามารถแยกความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องออกจากกัน คริสตชนต้องมองเห็นพระเจ้าในผู้อื่นและในสิ่งสร้าง
ตัวอย่างแรก ความโกรธ พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า ไม่เพียงไม่โกรธ แต่จะต้องให้ความเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน เพราะพระเจ้าทรงรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยกและไม่มีเงื่อนไข พระเยซูเจ้าได้มอบชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อความรอดของทุกคน ประการสำคัญ ต้องพร้อมที่จะคืนดีกับทุกคนก่อนจะนำเครื่องบูชาไปถวาย มิฉะนั้นแล้ว เครื่องบูชาและคำภาวนาของเราจะไม่มีความหมาย
ตัวอย่างที่สอง การผิดประเวณี พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าไม่เพียงไม่กระทำผิดประเวณี แต่ยังห้าม “ความคิดชั่ว” ที่ผิดต่อสายพระเนตรของพระเจ้า การผิดประเวณีไม่เพียงผิดด้านศีลธรรม แต่ยังผิดต่อความยุติธรรมในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนชีวิตของกันและกัน และทำลายสัมพันธภาพของชีวิตสมรส เราจะต้องไม่ใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อสนองความปรารถนาของเรา
ตัวอย่างที่สาม การหย่าร้าง พระเยซูเจ้าสอนว่า การหย่าร้างอาจถูกต้องในบางกรณี แต่ขัดแย้งกับศักดิ์ศรีและสิทธิสตรี โดยถือว่าการหย่าร้างเป็นความเห็นแก่ตัวและผิดศีลธรรม เพราะการแต่งงานเป็นพันธสัญญาที่ผูกมัดและเรียกร้องความมั่นคงของชีวิตคู่ บนพื้นฐานของความรัก การให้เกียรติและให้อภัยกัน
ตัวอย่างที่สี่ การสาบาน พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นว่า คริสตชนที่ดีจะต้องไม่สาบานเลย เพราะคริสตชนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่เสแสร้ง จะต้องมีความจริงใจในการเสวนาและเป็นที่ชื่อถือไว้วางใจแก่ทุกคนเวลาพูด โดยไม่ต้องอ้างถึงใครหรือสิ่งอื่นใดอีก ต้องพูดจาตรงไปตรงมาตามความจริง “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ (มธ 5:37)
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าไม่ได้สอนหลักศีลธรรมใหม่หรือลบล้างสิ่งใดในธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก แต่ทรงปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการมอบ “บัญญัติแห่งความรัก” แก่ผู้ที่เป็นศิษย์ติดตามพระองค์ทุกคน บนพื้นฐานของความรักที่พวกเขาจะต้องมีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ซึ่งเป็นพระประสงค์หรือเจตนาที่แท้จริงของพระเจ้าในการมอบธรรมบัญญัติแก่ประชากรอิสราแอล
“ความรัก” จึงเป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศาสนา อย่างที่นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า “จงรักพระเจ้าและกระทำตามที่ท่านปรารถนา” (Love God, and do what you wish.) ดังนั้น บัญญัติสิบประการ บุญลาภ และคำสอนทุกอย่างของพระเยซูเจ้า ล้วนแล้วแต่ท้าทายและบอกให้เราทราบว่า เราต้องตอบคำว่า “ใช่” (Yes!) เพื่อจะเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า ให้เราเลียนแบบอย่างของแม่พระ ศิษย์คนแรกของพระเยซูเจ้า ผู้เป็นต้นแบบของการตอบรับต่อแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า
ให้เราแต่ละคนได้ตอบรับด้วยการปฏิบัติความรักต่อเพื่อนพี่น้องของเรา เป็นต้นในครอบครัวและหมู่คณะ “ความสุขที่เรามีจะยังไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะได้แบ่งปันกับผู้อื่น” ขอให้เรามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อเราจะสามารถกล่าวได้อย่างนักบุญเปาโลที่ว่า “สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์” (1 คร 2:9)
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว11 กุมภาพันธ์ 2011
ผมเป็นคริสเตียน แต่ได้อ่านหลายๆบทความของคุณพ่อ แล้วได้รับพระพรมากครับ มีความลึกซึ้งทั้งด้านประวัติศาสตร์ เบื้องหลังพระคัมภีร์ การตีความ และการนำมาใช้จริงในชีวิต
ตอบลบขอพระเจ้าอวยพรคุณพ่อครับ