วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความรอดของศักเคียส

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดาปี C
ปชญ 11:22; 12:1
2 ธส 1:11-2:2
ลก 19:1-10

บทนำ

เยรีโค เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นเมืองแรกในดินแดนคานาอันที่ชาวอิสราแอลเข้ายึดครองโดยการนำของโยชูวา หลังจากพ้นจากการเป็นทาสในดินแดนอียิปต์ (ดู ยชว 2; 7) เนื่องจากเยรีโคตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนและเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ จึงเป็นศูนย์กลางการเดินทางและการค้า ทำให้เยรีโคกลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุด และเป็นศูนย์กลางการเก็บภาษีที่สำคัญที่สุดในปาเลสไตน์สมัยนั้น

อย่างที่เราทราบกันในอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลโรมมีวิธีการจัดเก็บภาษีด้วยการกำหนดอัตราภาษีตายตัว หลังจากที่จ่ายภาษีตามจำนวนที่กำหนดให้รัฐบาลโรมันแล้ว คนเก็บภาษีสามารถเก็บส่วนที่เหลือเป็นของตนเองได้ อาชีพเก็บภาษีจึงเป็นอาชีพที่สร้างรายได้มหาศาล ทำให้คนเก็บภาษีกลายเป็นที่เกลียดชังของชาวยิวทั่วไป เพราะการฉ้อโกง ขูดเลือดขูดเนื้อ และขายชาติด้วยการทำงานให้กับรัฐบาลโรมัน ชาวยิวจึงจัดคนเก็บภาษีอยู่ในระนาบเดียวกันกับโจร ฆาตกร และหญิงโสเภณี

ศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีที่ด่านเมืองเยรีโค ฐานะของเขาจึงร่ำรวยที่สุดในเยรีโค และเป็นที่เกลียดชังของผู้คนทั่วไป เพราะการเก็บภาษีให้ศัตรูและเก็บส่วนที่เหลือเป็นของตนเอง ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับชื่อของเขา “ศักเคียส” ในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “บริสุทธิ์” หรือ “ผู้ชอบธรรม” แต่นักบุญลูกาต้องการเล่นคำเพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมสมชื่อหลังจากได้พบกับพระเยซูเจ้า

ศักเคียส คงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เนื่องจากพระองค์เคยรักษาชายตาบอดชื่อบาทิเมอัสที่เมืองแห่งนี้ (ดู มก 10:46-52) เมื่อทราบว่าพระองค์เสด็จผ่านมาอีกครั้งเขาจึงอยากจะพบพระองค์ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนเตี้ย กอปรกับมีผู้คนมากมายรายล้อมพระองค์ ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ แต่เขาไม่ละความพยายาม วิ่งนำหน้าไปปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อจะได้เห็นพระองค์สักครั้งในชีวิต

คงเป็นเรื่องน่าอายไม่น้อยที่เศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดแห่งเยรีโคต้องมาปีนต้นไม้ เพื่อจะได้เห็นอาจารย์ชาวยิวคนหนึ่ง (ปกติเราเห็นแต่บรรดาเด็กๆ เท่านั้นที่ทำเช่นนี้) แต่ความต้องการพบพระเยซูเจ้าของเขามีมากกว่าความอาย เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านมา พระองค์มองมาที่เขา ทรงเรียกชื่อและตรัสกับเขาให้รีบลงมา เพราะพระองค์จะไปพักที่บ้านของเขา นี่คือความยินดีล้นเหลือที่เขาไม่เคยได้รับจากใครเช่นนี้มาก่อน

1. ความรอดของศักเคียส

การที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกชื่อศักเคียสและตรัสว่าจะไปพักที่บ้านของเขา คือเหตุการณ์ที่ช๊อกความรู้สึกของชาวยิวเป็นอย่างมาก เพราะการไปพักที่บ้านของชายที่ชาวยิวถือว่าเป็นคนบาปที่สุด เป็นสิ่งที่ชาวยิวทั่วไปไม่มีวันทำและรับไม่ได้ แต่พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความรักและพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อคนบาป พระองค์มิได้เสด็จมาเพื่อตามหาคนชอบธรรม แต่เพื่อตามหาคนบาปและคนที่หลงไป พระองค์ทรงเรียกชื่อเขาเหมือนผู้เลี้ยงแกะที่ดีซึ่งจำชื่อแกะได้ทุกตัว

พระเยซูเจ้าทรงรู้ว่าศักเคียสเป็นเหมือนกับคนอื่นทั้งหลายที่มีความดีในตัวเอง แต่ความดีนั้นต้องการความรักและความเข้าใจ เพราะศักเคียสเคยชินกับการเป็นคนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบคนอื่น สร้างความร่ำรวยให้ตนเองบนความทุกข์ของผู้อื่น และพึงพอใจในความสะดวกสบายที่ตนได้รับ ถึงเขาจะเป็นคนที่ร่ำรวยมาก แต่ในส่วนลึกแห่งจิตใจเขาเป็นคนยากจน สิ่งที่เขาแสวงหามาตลอดชีวิตคือ ความรัก อย่างที่คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตากล่าวเอาไว้ว่า “โรคที่คนส่วนใหญ่เป็นมากที่สุดในปัจจุบันคือโรคขาดความรัก”

ศักเคียส ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากพระเยซูเจ้า ซึ่งเขาไม่เคยได้รับเช่นนี้มาก่อน ความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้าสัมผัสใจเขา ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตนเองจากที่เคยเห็นแก่ตัว เป็นคนที่รู้จักให้และแบ่งปันสิ่งที่เขามีกับคนอื่น และชดเชยสิ่งที่ได้โกงใครมาถึงสี่เท่า เขาได้ทำมากกว่าที่กฎหมายกำหนด นี่คือเครื่องหมายแห่งการกลับใจที่ทำให้เขาได้รับความรอด “วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว” (ลก 19:9)

ความรักจึงเป็นพื้นฐานของความเข้าใจ ที่สามารถชนะใจทุกคน หลายครั้งเราพยายามที่จะชนะใจเขาแต่ทำไม่ได้ ใจคนก็เปรียบเหมือนประตูบ้าน การพยายามชนะใจเขาก็เหมือนการพยายามเข้าประตูบ้าน บางคนใช้วิธีทุบ งัด หรือแงะเพื่อให้ประตูเปิด วิธีนี้อาจจะเปิดเข้าได้แต่ประตูพังต้องเสียเงินเสียเวลาซ่อมแซมอีก แต่ถ้าเรามีกุญแจเราก็จะเปิดเข้าได้โดยง่าย กุญแจที่ว่านี้ก็คือ “ความรัก” นั่นเอง

2. บทเรียนสำหรับเรา

ศักเคียส คือรูปแบบของคนในสังคมปัจจุบันที่มีทุกอย่างพร้อมแต่ขาดความรัก ซึ่งได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราหลายอย่าง ดังนี้

ประการแรก ศักเคียสมีความต้องการที่จะพบพระเยซูเจ้าอย่างจริงใจ เขาตระหนักดีว่าเงินไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง เงินอาจซื้อทุกอย่างได้แต่ไม่อาจซื้อความรักและความสุขได้ แม้เขาจะเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป แต่เขาไม่เคยท้อใจที่จะเสาะหาสันติสุขในใจ จนกระทั่งได้พบกับพระเยซูเจ้าที่ทรงอภัยบาปเขา ยอมรับเขา รักเขา และสัญญาจะประทานความรอดแก่ครอบครัวของเขา

ประการที่สอง ศักเคียสได้ขจัดอุปสรรคทุกอย่างเพื่อพบกับพระเยซูเจ้า ไม่มีอะไรหยุดยั้งเขาได้ เขาวิ่งไปข้างหน้าและปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศเพื่อจะได้เห็นองค์พระเยซูเจ้า ดังนั้น ใครที่ต้องการพบพระเยซูเจ้าต้องขจัดอุปสรรคทุกอย่าง และใช้ทุกวิถีทางที่จะพบกับพระองค์ให้ได้

ประการที่สาม ศักเคียสได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่กลับไปดำเนินชีวิตเหมือนอย่างที่เขาเคยเป็นอีกต่อไป เขาได้ให้คำมั่นสัญญากับพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า” (ลก 19:8) เขาได้สำนึกถึงบาปที่ตนเคยกระทำและพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงให้ความมั่นใจกับเขาว่าจะได้รับความรอดนิรันดร

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระวรสารวันนี้ได้สอนเราให้พิจารณาไตร่ตรองถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต พระองค์ทรงสอนให้เรารักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ และรักเพื่อนพี่น้องโดยเฉพาะคนยากจน อีกทั้งยอมลำบากเพื่อจะได้รับเกียรติมงคลรุ่งเรืองกับพระเจ้า ประการสำคัญ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทุกคนได้รับความรอดพ้น ให้เราปรารถนาที่จะพบกับพระเยซูเจ้าอย่างจริงใจเช่นเดียวกับศักเคียส และต้อนรับพระองค์เข้ามาในบ้านของเราด้วยความยินดี เป็นต้นในศีลมหาสนิทในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและในเพื่อนพี่น้องที่เราพบเห็น

พระเจ้าคือองค์แห่งความรักหาที่สุดมิได้และทรงเป็นองค์แห่งความดีบริบูรณ์ ที่ทรงรักและให้อภัยเราเสมอ พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งเราแม้ว่าเราจะเป็นคนบาปหรือละทิ้งพระองค์ เราต้องพร้อมที่จะกลับใจและเปลี่ยนแปลงตนเองเช่นเดียวกับศักเคียส ที่เปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินชีวิตโดยทันที อีกทั้ง ต้องพร้อมที่จะรักและให้อภัยความผิดของและกันด้วยใจกว้าง เพราะนี่คือเงื่อนไขของการได้รับความรอดนิรันดร

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
29 ตุลาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น