วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความเพียรทนในการภาวนา

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา ปี C
อพย 17:8-13
2 ทธ 3:14; 4:2
ลก 18:1-8

บทนำ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง ชายสามคนได้ถูกอาคารพังทับห้องที่พวกเขากำลังทำงานอยู่ ทำให้พวกเขาติดอยู่ในห้องมืดนั้นเป็นเวลานาน ไปไหนไม่ได้ คนแรกเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาเริ่มบ่นว่าความมืดและด่าว่าพระเจ้าที่ทำให้เขาต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนั้น แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร ขณะที่คนที่สองเป็นคนที่ศรัทธาในพระเจ้า เขาได้ต่อว่าชายคนแรกว่าไม่ควรด่าว่าพระเจ้าอย่างนั้น เขาเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าพระเจ้าจะต้องช่วยเขาให้รอด เขาจึงเริ่มคุกเข่าอธิษฐานภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน

ส่วนคนที่สาม เป็นคนที่ไม่ค่อยศรัทธานัก แต่มีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า เขาใช้ไม้ขีดที่ติดตัวมาจุดเพื่อมองดูห้องโดยรอบ เขาพบค้อนและเหล็กสกัดอันหนึ่งจึงใช้มันเจาะผนังตรงจุดที่คิดว่าจะสามารถทะลุออกไปได้ ความมืดและกำแพงที่หนาทำให้งานของเขายากลำบาก หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เขาสามารถเจาะช่องเป็นรูเล็กๆ กระนั้นก็ดี เพื่อนสองคนที่ร่วมชะตากรรมไม่ได้ช่วยเขาแต่อย่างใด คนแรกนั่งสูบบุหรี่และบ่นว่าพระเจ้าอยู่ที่มุมหนึ่ง ขณะที่อีกคนคุกเข่าสวดสายประคำอยู่อีกมุมหนึ่ง

ชายคนที่สามยังคงขะมักเขม้นทำงานของเขาต่อไป พร้อมกับหยุดพักบ้างบางคราว ขณะทำงานเขาได้ยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าและพูดกับพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ลูกเชื่อว่าอาศัยความช่วยเหลือของพระองค์พวกลูกจะสามารถออกไปจากที่นี่ ขอพระองค์โปรดช่วยพวกลูกด้วย” เขาทำงานต่อไปโดยลำพัง หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเขาสามารถเจาะทะลุไปยังอีกห้องหนึ่ง และร้องด้วยความยินดีเมื่อพบทางออก เพื่อนของเขาอีกสองคนได้มาช่วยกันทำให้รูนั้นกว้างขึ้น จนพวกเขาสามารถคลานออกไปได้อย่างปลอดภัย

จากเรื่องที่กล่าวมา เราพบท่าทีที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการภาวนา คนแรกมองว่า การภาวนาเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลา ไม่มีประโยชน์ ส่วนคนที่สอง เมื่อเกิดปัญหาที่แก้ไม่ได้เขาได้ภาวนาทันทีและเฝ้าคอยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ส่วนใหญ่คำภาวนาของเราจะเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อเราพบคนที่ประสบเคราะห์กรรม เราภาวนาเพื่อเขาโดยไม่ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ขณะที่คนที่สาม ภาวนาและทำบางสิ่งบางอย่าง เขาตระหนักดีว่าคำภาวนาของเราจะไม่เป็นจริง หากเราไม่ทำส่วนของเราให้ดีเสียก่อน

1. ความเพียรทนในการภาวนา

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้หยิบยกคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายกับผู้พิพากษาอยุติธรรม เพื่อสอนว่า “จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” (ลก 18:1) พระเยซูเจ้าได้นำเสนอเรื่องราวของหญิงม่ายคนหนึ่งที่ต้องการให้คดีความของตนได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษา นางไปหาผู้พิพากษาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง ความเพียรพยายามของเธอทำให้ผู้พิพากษาหมดความอดทน ยอมพิจารณาตัดสินคดีความให้ในที่สุด (เพื่อนางจะได้ไม่มารบกวนให้รำคาญใจอีก)

ในสังคมอิสราแอลโบราณ หญิงม่ายถือเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสังคม เป็นตัวแทนของคนยากจน ไม่มีที่พึ่ง และปกป้องตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงทรงเอาพระทัยใส่พวกนางเป็นพิเศษโดยตรัสว่า “ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า... เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน” (อพย 22:22-23) หญิงม่ายที่ปรากฏในคำอุปมาถูกคนกลั่นแกล้งต่างๆ นานา จึงต้องมาร้องขอความยุติธรรมจากผู้พิพากษา

คำอุปมาเรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างพระเจ้ากับผู้พิพากษาอธรรม:

ประการแรก ผู้พิพากษาเป็นคนโลภ รับสินบน บิดเบือนความจริง และหากินบนความทุกข์ของคนอื่น ส่วนพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรมและเท่าเสมอกัน

ประการที่สอง ผู้พิพากษาไม่รู้จักหญิงม่ายยากจนคนนี้มาก่อน จึงไม่มีความผูกพันต่อกัน ส่วนพระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ก่อนที่จะเกิดมาด้วยซ้ำ (เทียบ ยรม 1:4) พระองค์ย่อมไม่ทอดทิ้งเราซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ ในเมื่อผู้พิพากษาอธรรมยังยอมให้ให้ความยุติธรรมแก่หญิงม่าย แล้วพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความดีบริบูรณ์ จะประทานยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด (ดู ลก 11:5-8 )

2. ข้อควรเข้าใจเกี่ยวกับการภาวนา

การภาวนาคือเครื่องพิสูจน์ที่ดียิ่งสำหรับผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระคริสตเจ้า และเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่จะช่วยเราให้สามารถเอาชนะอุปสรรค์ทุกอย่าง เราภาวนาบ่อยแค่ไหนในชีวิตของเรา และสาระสำคัญในการภาวนาของเราแต่ละครั้งคืออะไร เราภาวนาเพื่อวอนขอสิ่งวัตถุภายนอก หรือเฉพาะเวลาที่เราพบกับปัญหาในชีวิตเท่านั้น ประการสำคัญ เราควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการภาวนา ดังนี้:

1) พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา หลายครั้งเด็กๆ มักจะขอสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง เช่น อยากเล่นไฟหรือของมีคม หรืออยากกินสิ่งที่เป็นอันตราย พ่อแม่ที่รักลูกย่อมไม่ให้ตามที่เขาต้องการ พระเจ้าเช่นเดียวกันย่อมประทานสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรของพระองค์

2) พระเจ้าทรงเห็นกาลเวลาทั้งหมด เราเป็นเหมือนคนที่ไปดูหนังตอนกลางเรื่อง ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้นหรือตอนจบ เราเห็นแต่ปัจจุบันซึ่งเป็นเหตุการณ์เพียงสั้นๆ เราจึงภาวนาวอนขอพระเจ้าด้วยความโง่เขลา พระเจ้าไม่ทรงตอบคำขอของเรา เพราะพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่

3) การภาวนาต้องมาจากน้ำใสใจจริง ความเพียรพยายามของหญิงม่ายในคำอุปมา พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจของเธอ การที่พระเจ้าจะทรงตอบคำภาวนาของเรา ขึ้นอยู่กับความปรารถนาอันแรงกล้าของเรา

4) ในการภาวนาเราต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุด พระเจ้าจะไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเอง เช่น หากเราต้องการผ่านการสอบ คำภาวนาอย่างเดียวไม่พอ เราต้องเตรียมตัวสอบอย่างดีด้วย หรือหากเราต้องการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ต้องร่วมมือกับหมอ กินยาและปฏิบัติตนตามคำสั่งหมอ

5) คำภาวนาที่ดีที่สุดไม่ใช่ความพยายามขอสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า แต่เป็นการแสวงหาและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราจะต้องภาวนาอย่างพระเยซูเจ้า ณ สวนเกทเสมนีที่ว่า “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มธ 26:42)

บทสรุป

พี่น้องที่รัก คำอุปมาในพระวรสารวันนี้สอนเราว่าจำเป็นจะต้องมีความเพียรทนในการภาวนา ไม่ว่าในเรื่องใดคนเราจะบรรลุถึงเป้าหมายได้ก็ด้วยความเพียรพยายามเท่านั้น ดังคำกล่าวที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อีกทั้งยังให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราว่า เราสามารถเข้าถึงพระบิดาของเรา ผู้พร้อมจะประทานสิ่งที่ดีแก่เราเกินกว่าที่เราวอนขอเสียอีก

การภาวนาคือ การยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าและดำรงตนในความรักต่อพระองค์ ในการภาวนาทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด การภาวนาจะมีความหมายและปรากฏเป็นจริง เมื่อเราได้พยายามทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ดังนั้น เราจึงต้องภาวนาด้วยความเพียรทน โดยไม่ท้อถอยหรือสิ้นหวัง เพราะ “การภาวนาคือน้ำมันที่ทำให้ตะเกียงแห่งความเชื่อของเราลุกโชนอยู่เสมอ” (บุญราศีเทเรซาแห่งกัลกัตตา) ประการสำคัญ คำภาวนาชนะทุกสิ่งและเปลี่ยนทุกอย่างได้ ครอบครัวใดที่ภาวนาร่วมกันจะไม่มีวันแตกแยก
คำภาวนาชนะทุกสิ่งและเปลี่ยนทุกอย่างได้ ครอบครัวที่ภาวนาด้วยกันจะไม่มีวันแตกแยก
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
15 ตุลาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น