วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เวียดนามภาคใต้: หวู่งต่าว


เวียดนามภาคใต้
(บันทึกการเดินทางไปแสวงบุญเวียดนามใต้ 27-31 กรกฎาคม 2015)
บทนำ
“ประเทศไทยและเวียดนาม
ต่างตั้งในแถบเอเชีย ร่วมทวีป
มีน้ำโขงไหลโยง เชื่อมถึงกัน
แม้นานวันนับพันปี ก็ใกล้เคียง”
                                                                                             บทประพันธ์ของโฮจิมินต์
จาก “เสี้ยวหนึ่งที่ผูกพันของลุงโฮที่บ้านนาจอก” ใน www.nongyat.com
ด้วยความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันของเวียดนามกับไทยดังที่โฮจิมินห์ประพันธ์ไว้ ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปเวียดนามอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) กับคณะสงฆ์สี่สังฆมณฑลอีสาน ซึ่งเป็นการไปแสวงบุญเวียดนามภาคกลาง ได้แก่ ลาวาง เมืองเว้ ดานัง และเมืองมรดกโลกฮอยอัน ส่วนครั้งที่ 2 เดินทางไปในปี ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) กับคณะสงฆ์จากสี่สังฆมณฑลอีสานอีกเช่นกัน แต่เป็นการเดินทางไปเวียดนามภาคเหนือ ได้แก่ อ่าวฮาลอง แหล่งมรดกโลก และกรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม


การเดินทางไปเวียดนามครั้งนี้แตกต่างจาก 2 ครั้งแรกเนื่องจากเป็นการไปเฉพาะคณะสงฆ์อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงเท่านั้น ระหว่างวันที่ 27-31 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) อีกทั้งเป็นการเดินทางไปโดยทางเครื่องบิน ดังนั้น การเดินทางครั้งที่ 3 นี้จึงเป็นการสานต่อพันธกิจให้เสร็จสิ้น เพราะทั้งที่ราบลุ่มภาคกลางเคยเดินเที่ยวชมท่ามกลางสายฝนมาแล้ว และที่ราบสูงภาคเหนือของเวียดนามก็เคยสัมผัสอากาศหนาวแบบจับขั้วหัวใจมาแล้วเช่นกัน คราวนี้จึงเป็นการเดินทางไปพื้นที่ที่ยังไม่เคยไปคือ เวียดนามใต้นั่นเอง
อย่างที่เราทราบว่าพื้นที่ของประเทศเวียดนามมีลักษณะเหมือนตัว S ที่ทอดยาวจากเหนือจดใต้เป็นระยะทาง 1,650 กิโลเมตร คงเป็นการยากที่จะไปเยี่ยมชมทุกพื้นที่ได้ในครั้งเดียว หากทำเช่นนั้นคงใช้เวลาเป็นเดือน เช้าของวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) เวลา 7.45 น. คณะของเราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองโดยสายการบินแอร์เอเชีย  เครื่องบินแอร์บัส A320 เที่ยวบิน FD 650 ไปลงสนามบินเตินซอนเญิด (Tan Son Nhat) นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เวลา 9.30 น.


1.         เวียดนามภาคใต้
ภาคใต้ของเวียดนามแตกต่างจากภาคเหนือมาก แม้จะมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเหมือนกัน ภาคเหนือเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนนานนับพันปี แต่ภาคใต้กลับได้รับอิทธิพลของเขมร ภายใต้ “อาณาจักรจาม” มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ก่อนจะตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น เวียดนามเหนืออาจคุ้นเคยกับการปกครองแบบเผด็จการและทำตามคำสั่ง ขณะที่เวียดนามใต้กลับชื่นชอบการลงทุนทำธุรกิจและชีวิตที่อิสระเสรีตามอย่างตะวันตก แม้สงครามจะจบไปนานแล้ว แต่ผลที่ตามมายังมีให้เห็นอยู่ ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่โหดร้ายของสงคราม
นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางการค้าและอุตสาหกรรมของประเทศเวียดนาม เดิมชื่อไซ่ง่อน (Sai Gon) เคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ หลังการแบ่งประเทศออกเป็นเหนือ-ใต้ในตามข้อตกลงอนุสัญญาเจนีวาปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) โดยใช้เส้นรุ้งที่ 17 องศาเหนือเป็นเส้นแบ่ง ก่อนจะถูกเวียดนามเหนือยึดเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) และเปลี่ยนชื่อเป็นโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) เพื่อให้เกียรติกับโฮจิมินห์ บิดาผู้นำการต่อสู้เพื่อเอกราชและรวมชาติเวียดนาม


ปัจจุบัน นครโฮจิมินห์เป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมที่ทรงอิทธิพลของประเทศ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมได้มากเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ อันเนื่องมาจากทรัพยากรธรรมชาติที่ล้นเหลือ บวกกับความกระตือรือร้นในการทำธุรกิจและแรงผลักดันจากชาวเวียดนามในต่างประเทศ นำให้นครแดนใต้แห่งนี้คึกคัก มีชีวิตชีวา ทั้งยังเป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ คำกล่าวที่ว่า “เศรษฐกิจของโฮจิมินห์คือ ภาพสะท้อนเศรษฐกิจของเวียดนามทั้งประเทศ” คงไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
วันแรกของการเดินทางมาถึง ยังไม่ได้ไปเยี่ยมชมนครโฮจิมินห์ เป็นเพียงทางผ่านเพื่อเดินทางต่อไปยังหวู่งต่าว เมืองชายทะเลที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 85 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางสองข้างทางพบเห็นวัดคาทอลิกอยู่ทั่วไป อันแสดงถึงความเจริญเติบโตพระศาสนจักรในเวียดนาม ซึ่งภาคใต้ของเวียดนามนอกจากเป็นศูนย์กลางของอุตสหกรรมและการเกษตรกรรมของประเทศแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนาที่มีความเจริญเติบโตและแพร่หลายมากที่สุด นอกจากนั้น วันนี้ (27 กรกฎาคม) ยังเป็นวันทหารผ่านศึก จึงพบเห็นการประดับธงชาติและข้อความเชิดชูทหารตามอาคารร้านรวงต่างๆ ตลอดสองข้างทาง


2.         การเข้ามาของคริสตศาสนาและรูปปั้นพระเยซูที่หวู่งต่าว
ตามประวัติศาสตร์คริสตศาสนาเข้ามาในเวียดนามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1533 (พ.ศ. 2070) ที่ตังเกี๋ยทางภาคเหนือ กระทั่งปี ค.ศ. 1615 (พ.ศ. 2158)  ได้มีการเผยแพร่ศาสนาอย่างจริงจังในภาคกลางโดยมิชชันนารีเยซูอิต ชาวโปรตุเกส ทำให้ชาวเวียดนามจำนวนมากกลับใจเป็นคริสตชน นับเป็นเเวลาร่วม 500 ปีที่เมล็ดพันธ์แห่งความเชื่อได้เติบโต ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและการเบียดเบียนในระหว่างปี ค.ศ. 1802-1884 (พ.ศ. 2345-2427) มีคริสชนที่หลั่งเลือดเป็นมรณสักขียืนยันความเชื่อหลายแสนคน และสิ้นสุดลงเมื่อฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมดในปี ค.ศ. 1885 (พ.ศ. 2428)
หลังการแบ่งเวียดนามออกเป็นเหนือ-ใต้ปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497)  กล่าวกันว่าคริสตชนนับล้านคนได้หนีจากเวียดนามเหนือเข้ามาในเวียดนามใต้เพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา บางส่วนได้หนีเข้ามายังประเทศไทยกระจายตามเมืองต่างๆ ตามแม่น้ำโขง และหลังการรวมชาติในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) พระศาสนจักรในเวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ขาดอิสรภาพ ทำให้คริสตชนจำนวนมากหลบหนีภัยคอมมิวนิสต์ไปอยู่ที่ใหม่อีกครั้ง ในรูปของ “มนุษย์เรือ (Boat People)” ที่ทั่วโลกรู้จัก ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามผ่อนปรนมากขึ้นในการนับถือศาสนา ทำให้คริสตชนกว่า 7 ล้านคนในเวียดนามมีอิสระและเสรีภาพมากขึ้น


หวู่งต่าว เป็นคำภาษาเวียดนามมาจากคำว่า “หวู่ง” แปลว่า “ท่า” ส่วนคำว่า “ต่าว” แปลว่า “เรือ” หวู่งต่าว จึงหมายถึงเมืองท่าเรือ เนื่องจากมีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ลำดับ 2 ของประเทศ ตั้งอยู่บนแหลมที่มีเขาสองลูกขนาบข้าง ถือเป็นเมืองชายทะเลที่มีทัศนียภาพงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ ที่มักเดินทางมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดหรือสุดสัปดาห์ อีกทั้ง เป็นเมืองที่มีความทันสมัยสะดวกสบายไม่ต่างจากโฮจิมินห์เท่าใดนัก แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่เศรษฐกิจของเมืองนี้กลับขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมน้ำมันนอกชายฝั่งมากกว่า
หลังรับประทานอาหารเทียงที่โรงแรมดิกสตาร์ (Dic Star Hotel)  คณะของเราได้เดินทางไปชมรูปปั้นพระเยซูเจ้าบนเนินเขาหยุยเญ่อ ซึ่งเป็นพระรูปพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าขนาดความสูงกว่า 30 เมตร ยืนกางแขนต้อนรับและรักทุกคนโดยไม่แบ่งแยกอันสะท้อนถึงความเชื่อคริสตชน คล้ายกับรูปปั้นพระเยซูเจ้าที่นครริโอเดอจาไนโร ประเทศบราซิลแต่เล็กกว่า กระนั้นยังถือว่าใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย สร้างโดยชาวอเมริกันในปี ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514)  ซึ่งต้องเดินขึ้นบันได 811 ขั้น จึงถึงฐานพระรูปพระเยซูเจ้า และสามารถเดินขึ้นไปถึงไหล่ของพระรูปนี้เพื่อชมทัศนียภาพโดยรอบของหวู่งต่าวได้


จากนั้นคณะของเราได้เดินทางไปวัดไบ๋ด่าว (Bai Dau) ซึ่งเป็นวัดแม่พระ มีรูปพระนางมารีย์ถวายพระกุมารในพระวิหารขนาดใหญ่ยืนตระหง่านบนเนินเขา เคียงคู่กับวัดซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเช่นกัน พระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ได้เป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเดินทาง และการได้มีโอกาสมาแสวงบุญที่ประเทศเวียดนามครั้งนี้ อีกทั้ง เพื่อเติมไฟแห่งความเชื่อในตัวเราให้ร้อนรนยิ่งขึ้น
หลังพิธีบูชาขอบพระคุณ พระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ได้นำคณะสงฆ์ภาวนาเพื่อถวายประเทศไทย และคริสตชนในอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงแด่แม่พระ เพื่อขอให้พระนางได้อวยพรให้มีความเชื่อที่เข้มแข็งและร้อนรนเช่นเดียวกับคริสตชนเวียดนาม ในการเป็นประจักษ์พยานถึงองค์พระคริสตเจ้าบุตรสุดที่รักของพระนาง เพื่อการประกาศข่าวดีจะได้เกิดผลอย่างแท้จริง จากนั้น ได้เดินทางกลับที่พักที่โรงแรมดิกสตาร์ เพื่อรับประทานอาหารเย็นและพักผ่อน เป็นการสิ้นสุดภารกิจของวันแรก



Don Daniele        เรื่อง/ภาพ
Dic Star Hotel, Vung Tau City, VIETNAM
July 27, 2015

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

40 ปีวัดหลังปัจจุบันของหนองแสง


40 ปีวัดหลังปัจจุบันของหนองแสง
ใครที่เคยมาเที่ยวจังหวัดนครพนม หากขับรถยนต์ผ่านถนนสุนทรวิจิตรเรียบแม่น้ำโขงไปจนสุดถนน คงสะดุดตากับโบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าริมแม่น้ำโขง ณ ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โบสถ์หลังนี้แสดงถึงความเจริญเติบโตของคริสตศาสนาในจังหวัดนครพนม ที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี อันนับตั้งแต่คริสต์ศาสนาเข้ามาในภาคอีสาน โดยการนำของธรรมทูตรุ่นบุกเบิกคือ คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ โปรดม กับคุณพ่อซาเวียร์ เกโก คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (M.E.P.) ในปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424)
โบสถ์ที่กล่าวถึงนี้คือ โบสถ์นักบุญอันนาหนองแสง หรือ รองอาสนวิหารนักบุญอันนาหนองแสง แห่งอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง สร้างโดยคุณพ่ออันตน เสงี่ยม ศรีวรกุล (ดีศรีวรกุล) ขณะเป็นเจ้าอาวาสในช่วงปี ค.ศ. 1964-1976 (พ.ศ.2507-2519)  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการระลึกถึงความเสียสละและความกล้าหาญของธรรมทูตรุ่นแรก ที่ได้นำเมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสารมาหว่านในแผ่นดินอีสาน และเพื่อเป็นการโมทนาคุณพระเจ้าที่ได้เลือกคนอีสานที่สองคอนเป็นตัวอย่างของการสละชีวิตเพื่อยืนยันความเชื่อ อีกทั้ง เพื่อทำให้หนองแสงในฐานะศูนย์กลางของมิสซังลาวและภาคอีสานในอดีต ได้สาดแสงเจิดจ้าไปทั่วดินแดนอีสานอีกครั้ง
โบสถ์หลังนี้นับเป็นโบสถ์หลังที่ 4 มีพิธีวางศิลาฤกษ์โดยพระสมณทูตยวง โมเร็ตตี พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย ในวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ซึ่งตรงกับวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์  โดยสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ คล้ายคลึงกับอาสนวิหารหลังเก่าที่ถูกทำลาย ด้วยความร่วมมือร่วมใจอย่างพร้อมเพรียงของคริสตชนหนองแสง ด้วยแรงศรัทธาของคริสตชนจากที่ต่างๆ  และเหนือสิ่งอื่นใดคือความช่วยเหลือของพระเจ้า วัดหลังใหม่จึงสำเร็จลงอย่างน่าสรรเสริญ
เมื่อสร้างเสร็จโบสถ์หลังนี้จึงโอ่อ่าสวยงามทั้งภายนอกและภายใน สมกับเป็นรองอาสนวิหารอย่างแท้จริง มีพิธีเสกและเปิดอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่  18 เมษายน ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) โดยพระสังฆราชเกลาดีอุส บาเย อดีตประมุขมิสซังลาว, มิสซังท่าแร่และมิสซังอุบลราชธานี ธรรมทูตรุ่นที่สองผู้บุกเบิกและมีบทบาทสำคัญในพระศาสนจักรท้องถิ่นแห่งนี้
นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่คุณพ่อเสงี่ยม ดีศรีวรกุล สามารถสร้างวัดใหญ่โตสวยงามหลังนี้เมื่อ 40 ปีก่อนได้ ขณะที่สังฆมณฑลยังยากจน ผู้คนอัตคัดขัดสน เครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยียังล้าสมัย อีกทั้งยังสามารถขอบริจาคเงินจากบุคคลสำคัญ อาทิ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ, บุญราศี สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6, ประธานาธิบดีเหงียน วันเทียว แห่งเวียดนามใต้, สำนักเลขาธิการนานาชาติแห่งโรม เป็นต้น
โบสถ์หลังนี้จึงเป็นมรดกแห่งความเชื่ออย่างแท้จริง ที่แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท เสียสละและความศรัทธาในพระเจ้า ซึ่งคุณพ่อเสงี่ยม ดีศรีวรกุล กล่าวด้วยความสุภาพว่า พระเจ้าได้สร้างขึ้นจากความว่างเปล่า นอกนั้นยังเป็นเครื่องหมายแห่งความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพี่น้องคริสตชนหนองแสง ที่ร่วมมือกับคุณพ่อในการสร้างโบสถ์หลังนี้จนสำเร็จ โอกาสครบรอบ 40 ปีของโบสถ์หลังนี้ ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะสำนึกพระคุณและคิดถึงคุณพ่ออันตน เสงี่ยม ดีศรีวรกุล เป็นพิเศษ
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟยานนาวา กรุงเทพฯ
26 กรกฎาคม 2015